วันพุธที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

การตั้งถิ่นฐานของชนชาติไทยในประเทศไทย



ทีมา http://www.youtube.com/watch?v=3OW6gv98ozM&feature=related

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย



ทีมา http://www.youtube.com/watch?v=_s_WkPTzzrQ&feature=related

ประวัติธงชาติไทย



ทีมา http://www.youtube.com/watch?v=Bn435uFMCLQ&feature=related

ประวัติศาสตร์ไทย สมัยรัตนโกสินทร์


หลังจากปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ ในปี พ.ศ. 2325 แล้ว สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกทรงใช้พระนามว่า "พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก" และได้ย้ายราชธานีจาก กรุงธนบุรีข้ามแม่น้ำเจ้าพระยามายังฝั่งตรงข้าม และตั้งชื่อราชธานีใหม่นี้ว่า "กรุงเทพมหานคร" พร้อมๆกับการสถาปนาราชวงศ์จักรีขึ้นมา

พระองค์ทรงฟื้นฟูขวัญกำลังใจให้กับประชาชนที่ยังหวาดผวากับศึกพม่าเมื่อครั้ง สงคราวเสียกรุงศรีอยุธยา รวมทั้งตลอดสมัยกรุงธนบุรี ด้วยการนำแบบแผนต่างๆของ ราชสำนักอยุยามาใช้ รวมทั้งอัญเชิญพระพุทธรูปสำคัญมาไว้ที่กรุงเทพฯด้วย วัดพระศรีรัตนศาสดารามหรือวัดพระแก้ว เป็นแบบอย่างชัดเจนที่พระองค์ ทรงระดมช่างฝีมือซึ่งหลงเหลืออยู่ในเวลานั้นมาสร้างพระราชวังและพระอาราม ที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้ เสมือนยกเอายุครุ่งเรืองของกรุงศรีอยุธยามาไว้ยังกรุงเทพฯ
ในช่วงก่อร่างสร้างเมืองนี้สยามยังต้องผจญกับศึกสงครามรอบบ้านอยู่เสมอ รวมทั้งสงครามครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การรบระหว่างสยามกับพม่าด้วย นั่นคือศึกที่เรียกว่า"สงครามเก้าทัพ" ซึ่งตรงกับรัชสมัยของพระเจ้าประดุง แห่งหงสาวดี กองทัพสยามสามารถขับไล่ทัพพม่าออกไปได้ในที่สุด หลังสงครามเก้าทัพพม่าต้องเผชิญหน้ากับประเทศนักล่าอาณานิคมอย่างอังกฤษ ทำให้สยามว่างเว้นศึกสงครามใหญ่ไปนาน

รัชกาลที่1 มีพระราชดำริให้ฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมครั้งใหญ่ รวมทั้งการรวบรวทตำรับตำราจากหัวเมืองต่างๆ ที่รอดพ้นจากการถูกพม่าเผาเมื่อ ปี พ.ศ.2310 มาเก็บไว้ที่กรุงเทพฯ

ในสมัยของพระองค์ได้มีการนำธรรมเนียมปฏิบัติของราชสำนักอยุธยามาใช้อย่างหนึ่งคือ มีการแต่งตั้งตำแหน่งอุปราชเสมืองเป็นกษัตริย์องค์ที่2 อุปราชองค์แรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์คือ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ซึ่งประทับอยู่ที่วังหน้า คนสยามจึงมักเรียกตำแหน่งอุปราชว่า "วังหน้า"

สำหรับพระราชวังหน้านั้นปัจจุบันคือบริเวณมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ โรงละครแห่งชาติ และวิทยาลัยนาฏศิลป์นั่นเอง รวมทั้งพื้นที่ประมาณครึ่งหนึ่งของท้องสนามหลวงก็เคยเป็นอาณาบริเวณของ วังหน้ามาก่อน เวลามีการก่อสร้างต่างๆบริเวณนี้เมื่อขุดลงไปในดินจึงมักพบ โบราณวัตถุหลายอย่าง โดยเฉพาะปืนใหญ่แบบโบราณ มีการขุดได้บริเวณนี้ หลายกระบอก

รัชกาลที่ 2 ยุคทองของศิลปรัตนโกสินทร์ :พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (พ.ศ. 2352-2367) พระราชโอรสองค์ โตได้ครองราชสมบัติสืบมาเป็นรัชกาลที่2 พระองค์ทรงใฝ่พระทัยในศิลปวัฒนธรรมมาก ทั้งทางด้านวิจิตรศิลป์ และวรรณคดี พระองค์ได้รับการยกย่องว่าเป็นกษัตริย์ผู้เป็นอัครศิลปิน ทรงสร้างและบูรณะวัดวาอารามจำนานมาก ที่สำคัญที่สุดคือโปรดเกล้าฯให้บูรณะ วัดสลักใกล้พระราชวังเดิมฝั่งธนบุรี จนยิ่งใหญ่สวยสง่ากลายเป็นวักประจำรัชกาลของพระองค์และพระราชทานนามว่า "วัดอรุณราชวรารามมหาวิหาร"

ความเป็นศิลปินเอกของพระองค์เห็นได้จากการที่พระองค์ทรงแกะสลักบานประตู หน้าวัดสุทัศน์ฯด้วยพระองค์เอง ผลงานอันวิจิตรชิ้นนี้ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติกรุงเทพฯ นอกจากฝีพระหัตถ์เชิงช่างแล้ว รัชกาลที่2ยังทรงพรัอัจฉริยภาพในทางกวีด้วย พระราชนิพนธ์ชิ้นสำคัญของพระองค์ บทละครเรื่อง อิเหนา และ รามเกียรติ์

นอกจากทรงพระราชนิพนธ์ด้วยพระองค์เองแล้ว ยังได้ชื่อว่าเป็นองค์อุปถัมภ์ บรรดาศิลปินและกวีด้วย ยุคนี้จึงเรียกได้ว่าเป็นยุคสมัยที่กวีรุ่งเรืองที่สุด กวีเอกที่ปรากฏในรัชกาลของพระองค์คือ พระศรีสุนทรโวหาร(ภู่) ที่คนไทย ทั่วๆไปเรียกว่า "สุนทรภู่"

ในด้านการต่างประเทศ พระองค์ทรงได้เริ่มฟื้นฟูความสัมพันธ์กับประเทศตะวันตก ใหม่หลังจากหยุดชะงักไปตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยมีพระบรมราชานุญาตให้โปรตุเกตุเข้ามาตั้งสถานฑูตได้เป็นชาติแรก



รัชกาลที่ 3 ยุคพ่อค้าวาณิช : กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ได้ครอง ครองราชสมบัติต่อจากพระบิดา ทรงพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระ นั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2367-2394) ทรงมีความเชี่ยวชาญในการค้า ขายกับต่างประเทศมาก โดยเฉพาะกับประเทศจีน ในรัฐสมัยของพระ องค์ ราชสำนักสยามและจีนมีสัมพันธภาพที่แน่นแฟ้น สยามแต่ง สำเภาเดินทางไปค้าขายกับจีนปีละมากลำ ยุคสมัยของพระองค์นับ เป็นยุคทองของการค้าขาย ทรงทำให้เศรษฐกิจของประเทศมั่งคั่งขึ้น เงินทองเต็มท้องพระคลัง และทรงเก็บพระราชทรัพย์บางส่วนไว้ใน ถุง้า แดง ซุกซ่อนไว้ตามบัลลังก์ ซึ่งในเวลาต่อมาทรัพย์ในถุงแดงนี้มีส่วน ในการกู้ชาติสยาม
รัชกาลที่ 3 เป็นกษัตริย์ผู้ทรงเคร่งครัดในศาสนาพุทธ ชาว ตะวันตกมักมองว่าพระองค์ ตึงและต่อต้าน ศาสนาอื่น แม้กระนั้นก็ ทรงอนุญาตให้มิชชั่นนารีจากอเมริกานำการแพทย์แผนตะวันตกเข้า มาเผยแพร่ได้
การเปิดประเทศในรัชกาลที่ 4 : ความจริงในสมัยรัชกาลที่ 3 ประเทศสยามต้องรับบรรดาทูตต่างๆจากชาติตะวันตกที่เข้ามาทำ สัญญาทางการค้าบ้างแล้ว โดยเฉพาะการมาถึงของ เซอร์จอห์น เบาริ่ ง จากอังกฤษที่เข้ามาทำ สัญญาเบาริ่ง อันส่งผลอย่างใหญ่หลวงต่อง้า ประเทศสยามในเวลาต่อมา อย่างไรก็ตามผลจากการเปิดประเทศมา ปรากฏอย่างเด่นชัดในสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ซึ่งทรงสนพระทัยในศิลปวิทยาการของตะวันตกมาก พระ องค์ทรงศึกษาวิชาการต่างๆ อย่างแตกฉาน ทรงเข้าใจภาษาบาลีเป็น อย่างดีตั้งแต่ครั้งที่ออกผนวชเป็นเวลาถึง 27 พรรษาก่อนทรงขึ้นครอง ราชย์ ส่วนภาษาอังกฤษนั้นทรงได้เรียนกับมิชชันนารีจนสามารถตรัส ได้เป็นอย่างดี นกจากนี้ยังมีความรู้ในวิทยาศาสตร์แขนงต่างๆโดย เฉพาะดาราศาสตร์

ในยุคสมัยของพระองค์ขนบธรรมเนียมต่างๆ ในราชสำนักได้ เปลี่ยนไปมาก เช่น การแต่งกายเข้าเฝ้าของขุนนาง ทรงให้สวมเสื้อผ้า แบบตะวันตกแทนที่จะเปลือยท่อนบนเช่นสมัยก่อน หรือยกเลิก ประเพณีหมอบคลาน เป็นต้น

ส่วนในด้านการศาสนานั้นทรงตั้งนิกาย นิกายธรรมยุติ ขึ้นมา ซึ่งเป็นการเริ่มต้นการรวมอำนาจของคณธสงฆ์ซึ่งเคยกระจัดกระจาย ทั่วประเทศให้เขามาอยู่ที่ส่วนกลาง พระองค์นับว่าทรงเป็นกษัตริย์ผู้มี วิสัยทัศน์ยาวไกล และทรงตระหนักถึงภัยจากลัทธิล่าอาณานิคมของ ประเทศตะวันตกซึ่งในเวลานั้นเข้ายึดครองประเทศเพื่อนบ้านของ สยามจนหมดสิ้นแล้ว พระองค์ทรงมีพระราชดำริว่า ความเข้มแข็งแบบ ตะวันออกของสยามไม่สามารถช่วยให้ประเทศรอดพ้นจากการตกเป็น อาณานิคมได้ จึงทรงเน้นให้ประเทศสยามพัฒนาให้ทันสมัยเพื่อลด ความขัดแย้งกับชาติตวันตก

ยุคสมัยนี้กล่าวได้ว่าประเทศสยามเริ่มหันทิศทางไปสู่ตะวัน ตกแทนที่จะแข็งขืนอย่างประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งถึงที่สุดแล้วก็ไม่อาจสู้ ความได้เปรยบทางเทคโนโลยีของชาติตะวันตกได้ ในราชสำนักทรง จ้างครูฝรั่งมาสอนภาษาให้แก่พระราชโอรสและพระราชะดา ส่วนภาย นอกมีชาวต่างประเทศจำนวนมากที่มาประกอบกิจการในมืองสยาม สมัยนี้มีหนังสือพิมพ์ภาษาไทยออกมาเป็นครั้งแรก นั่นคือ บางกอกรี คอดเดอร์ ของหมอบัดเลย

การทำสนธิสัญญาทางการค้ากับประเทศตะวันตกทำให้ สยามต้องสูญเสีย สิทธิสภาพนอกอาณาเขต อังกฤษเป็นชาติแรกๆที่ ได้ประโยชน์สยามสามารถเก็บภาษีจากสินค้าของพ่อค้าอังกฤษได้ เพียงร้อยละ 3 และอังกฤษสามารถนำเข้าฝิ่นจากอินเดียได้โดยเสรี รวมทั้งสัญญาระบุให้สยามยกเบิกการผูกขาดการค้าข้าวโดยราช สำนัก ทำให้ข้าวกลายเป็นสินค้าออกที่สำคัญของสยามมานับศตวรรษ ต่อมาสยามก็ต้องทำสัญญาเช่นนี้กับชาติตะวันตกอื่นๆอีก ความสนใจในวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะด้านดาราศาสตร์เป็น เหตุให้พระองค์ต้องสวรรคต ในปี พ.ศ. 2411 ทรงคำนวณได้ว่าจะเกิด

สุริยุปราคาเต็มดวงที่หว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จึงเสด็จฯไปดู พร้อมกับเชิญคณะทูตานุทูตตามเสด็จไปชมด้วย แม้จะเป็นเรื่องที่ทำ ให้พระองค์ได้รับการยกย่องจากชาวตะวันตกมาก เพราะในเวลานั้น แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ชาติตะวันตกก็มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถคำนวณ การกิดสุรุยุปราคาได้อย่างแม่นยำ แต่กการเสด็จฯไปหว้ากอครั้งนั้น เป็นเหตุให้พระองค์ประชวรด้วยไข้มาลาเรีย และเสด็จสวรรคตในอีก สองสัปดาห์ต่อมา

การปฏิรูปในสมัยรัชกลที่ 5 : เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ พระราชโอรส ของรัชกาลที่ 4 ขึ้นครองราชย์เป็นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้า อยู่หัว ด้วยพระชนมายุเพียง 15 ชันษา พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ใน ยุคสมัยที่บ้านเมืองจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง และทรงต้องเผชิญกับการ กดดันจากหลายด้าน ทั้งฐานอำนาจของกลุ่มวังหน้าและฝ่ายขุนนางที่ นำโดยสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระ องค์ ในขณะที่แรงกดดันจากประเทศนักล่าอาณานิคมก็มิได้ลดละ แต่ โชคดีที่พระองค์รวมทั้งพระประยูรญาติได้รับการปูพื้นฐานมาเป็น อย่างดี ในสมัยของพระองค์บรรดาขุนนางต่างพระเนตรพระกรรณที่ พระองค์มีพระบรมราชโองการอยู่เสมอก็คือพระอนุชาของพระองค์ เป็นส่วนใหญ่ ขุนนางซึ่งมีบทบาทอย่างมากในสมัยนี้ก็คือ กรมพระยา ดำรงราชานุภาพ กรมพระยาเทววงศ์วโรปกรณ์ กรมหลวงประจักษ์ ศิลปคม เป็นต้น ซึ่งล้วนเป็นพระอนุชาของพระองค์ทั้งสิ้น ในยุคสมัยนี้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในประเทศสยาม พระองค์ถือเป็นกษัตริย์ที่ทรงปฏิรูปสังคมครั้งใหญ่ ทรงยกเลิกระบบ ทาสและการเกณฑ์แรงงานไพร่ หันมาใช้ระบบเก็บส่วนภาษีแทน ทรง ปฏิรูประบบการปกครองส่วนภูมิภาคด้วยการยกเลิกระบบประเทศราช และเจ้าครองนครเปลี่ยนผู้บริหารเป็นสมุหเทศาภิบาลซึ่งเป็นข้าราช การที่ส่งไปจากส่วนกลาง การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้ประเทศสยาม เป็นปึกแผ่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนนับแต่สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ การเตรียมพร้อมของพระองค์ต่อการคุกคามโดยประเทศ ตะวันตกนั้น ทรงส่งพระราชโอรสไปศึกษา ณ ดินแดนยุโรป โดยเฉพาะ ในประเทศรัสเซียและปรัสเซีย ทั้งเพื่อเตรียมคนไว้เพื่ออนาคต และเป็น การผูกสัมพันธ์กับราชสำนักยุโรปเพื่อถ่วงดุลอำนาจของอังกฤษและ ฝรั่งเศสที่ในเวลานั้นกำลังล่าอาณานิคมในภูมิภาคเอเซียอยู่
ในปี พ.ศ. 2435 ทรงตั้งกระทรวงเพิ่มขึ้นจาก 4 เป็น 12 กระทรวง บางกระทรวงก็ทรงแต่งตั้งพระอนุชาเป็นเสนาบดี บาง กระทรวงที่ต้องติดต่อสัมพันธ์กับต่างประเทศก็ทรงจ้างผู้เชี่ยวชาญชาว ตะวันตกเป็นเสนาบดี รัชสมัยของพระองค์มีชาวตะวันตกเข้ามารับใช้ ประเทศสยามจำนวนมาก หลายท่านยังคงมีลูกหลานสืบสกุลในเมือง ไทยจนปัจจุบัน ครั้นพระราชโอรสของพระองค์สำเร็จการศึกษาจากยุ โรปแล้วก็ได้เข้ามาเป็นกำลังในการปรับปรุงโครงสร้างการบริหารครั้ง ใหญ่ โดยเฉพาะเป็นกำลังในการสร้างกองทัพบกและกองทัพเรือให้มี ความทันสมัยอย่างตะวันตก

ในสมัยนี้ประเทศสยามต้องเผชิญกับการบีบคั้นโดยชาติ มหาอำนาจอย่างอังกฤษและฝรั่งเศส ทำให้สยามจำต้องเสียดินแดน ให้แก่มหาอำนาจทั้งสองไปเป็นจำนวนมากเพื่อแลกกกับเอกราชของ ประเทศ

เมื่อฝรั่งเศสเข้าครอบครองเวียดนามในปี พ.ศ. 2426 และ อังกฤษยึดครองมลายูและพม่าส่วนบนได้ในปี พ.ศ. 2429 ทำให้สยาม ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ต่อมาฝรั่งเศสส่งเรือรบมาปิดล้อมอ่าว ไทย ทำให้ต้องยอมเสียลาวและกัมพูชาให้ฝรั่งเศสไป ขณะเดียวกันก็ ต้องยำดินแดนทางภาคใต้ได้แก่ ปะลิส กลันตัน ตรังกานู ไทรบุรี ดิน แดน ติดพม่าได้แก่ มะริด ทวาย ตะนาวศรี และดินแดนหัวเมืองเงี้ยว ในภาคเหนือให้แก่ประเทศอังกฤษ รวมแล้วสยามต้องเสียดินแดนให้ มหาอำนาจทั้งสองถึง 120,000 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณครึ่ง หนึ่งของประเทศไทยในปัจจุบัน

นอกจากต้องเสียดินแดนแล้วยังต้องจ่ายค่าปรับให้กับ ประเทศเหล่านั้นด้วย จึงต้องใช้เงินใน ถุงแดง ซึ่งรัชกาลที่ 3 เก็บซุก ซ่อนไว้นำมาจ่ายให้มหาอำนาจเหล่านั้น รัชกาลที่ 5 เคยเสด็จประพาสยุโรปถึงสองครั้งในปี พ.ศ. 2440 และ พ.ศ. 2450 เพื่อเป็นการผูกสัมพันธไมตรีกับราชสำนักต่างๆในยุ โรปให้แน่นแฟ้นขึ้น

ในรัชสมัยของพระองค์กล่าวได้ว่าสยามประเทศมีการพัฒนา อย่างก้าวกระโดด แม้จะต้องเสียเงินทองมากมายให้แก่มหาอำนาจ แต่เศรษฐกิจของสยามก็เฟื่องฟูโดยเฉพาะหากเทียบกับประเทศเอเซีย อื่นๆ หลังจากพระองค์เสด็จสวรรคต ปวงชนชาวไทยจึงพร้อมใจกัน ถวายพระสมัญนามแด่พระองค์ว่า พระปิยมหาราช ซึ่งหมายถึง กษัตริย์ทรงเป็นที่รักยิ่ง

รัชกาลที่ 6 เผชิญคลื่นลมแห่งการเปลี่ยนแปลง : เจ้ามหา วชิราวุธ โอรสของรัชกาลที่ 5 ขึ้นครองราชสมบัติต่อมา ทรงพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2453-2468) พระองค์ ทรงจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยอ็อกฟอร์ดในประเทศอังกฤษ นโยบายปฏิรูปแบบตะวันตกส่งผลต่อสังคมไทยอย่างมหาศาล การเปลี่ยนแปลงอย่างแรกในปี พ.ศ. 2456 คือคนไทยต้องมี นามสกุลใช้ ในอดีตคนไทยใช้เพียงชื่อตัวไม่มีนามสกุล ซึ่งพระองค์มี พระราชดำริว่าไม่ทันสมัยอย่างชาวตะวันตก พระองค์จึงทรงพระราช ทานนามสกุลให้แก่ขุนนาและคหบดีกว่าร้อยสกุล รวมถึงการถวาย พระนามต้นแห่งกษัตริย์ในราชวงศ์จักรีว่า รามา ก็เกิดขึ้นในสมัยนี้ พระองค์ยังทรงยกเลิกธรรมเนียมให้ผู้หญิงไทยไว้ผมสั้นทรง ดอกกระมอย่างโบราณ และหันมาไว้ผมยาวแบบฝรั่ง และให้นุ่งผ้าถุง แทนโจงกระเบน ทรงจัดให้มีการศึกษาภาคบังคับทั่วประเทศ มีการตั้ง จุฬาลงกรณ์ขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของไทย สงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดขึ้นในรัชสมัยของพระองค์ ในช่วง ท้ายของสงครามพระองค์ได้ส่งทหารไทยไปร่วมรบ ณ สมรภูมิยุโรป ด้วย นั่นทำให้ประเทศสยามได้รับการต้อนรับให้เข้าร่วมสันนิบาติชาติ ภายหลังสงคราม และภายหลังจากทหารอาสาชาวไทยกลับจาก สงคราม พระองค์ทรงเปลี่ยนธงชาติจากธงช้างเผือกบนพื้นแดงมาเป็น ธงไตรรงค์แบบปัจจุบันแทน

ในรัชสมัยนี้มีการแต่งตั้งเจ้านายในราชวงศ์และขุนนางใกล้ชิด ให้เป็นคณะรัฐมนตรีร่วมปรึกษาใกล้ชิดกับพระองค์ในการบริหาร ประเทศ และมีการตั้ง กองเสือป่า ขึ้นมาโดยมีพระองค์เองเป็นผู้ บัญชาการ กองเสือป่าที่ตั้งขึ้นมีลักษณะซ้ำซ้อนกับกองทัพ และหลาย ครั้งเสือป่าของพระองค์มีเรื่องมีราวกับทหารในกองทัพ ปมขัดแย้งเริ่ม เกิดขึ้นในหมู่ทหารจำนวนหนึ่ง กระทั่งประทุเป็นการก่อกบฎใน ร.ศ. 130 ที่เรียกว่า กบฏนายสิบ

รัชกาลที่ 6 ทรงโปรดการละครมาก ในราชสำนักสมัยนั้นมีการ เล่นละครกันอยู่เป็นประจำ และไม่ว่าจะเสด็จแปรพระราชฐานไปที่ใด ก็มักจะนำคณะละครของพระองค์โดยเสด็จไปด้วยเสมอ อย่างไรก็ตามพระองค์ทรงได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์ที่โปรดการ สร้างถาวรวัตถุ ได้ทรงสร้างพระตำหนักและพระราชวังไว้ตามจังหวัด ต่างๆเป็นจำนวนมาก อาทิ พระตำหนักดุสินธานี ที่กรุงเทพฯ พระราช วังสนามจันทร์ ที่นครปฐม พระราชวังบ้านปืน และพระราชนิเวศน์ มฤคทายวัน ที่เพชรบุรี เป็นต้น ผลจากการสร้างสิ่งเหล่านี้ทำให้เงินใน ท้องพระคลังที่สะสมมาสมัยรัชกาลที่ 5 ร่อยหรอลง จนเกิดปัญหาการ ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในช่วงปลายรัชกาล

รัชกาลที่ 6 ทรงอภิเษกสมรสเมื่อพระชนม์มายุมากแล้ว พระ ราชธิดาพระองค์เดียวประสูติก่อนวันเสด็จสวรรคตของพระองค์เพียง แค่วันเดียวในปี พ.ศ. 2468 พระอนุชาของพระองค์คือ เจ้าประชาธิปก ทรงขึ้นคอรงราชย์ต่อ

การเปลี่ยนแปลงในรัชกาลที่ 7 : หลังจากเสด็จขึ้นครองราชย์ ทรงพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว แม้ว่าจะทรง สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนอีตันของอังกฤษ แต่ดูเหมือนรัชกาลที่ 7 จะโปรดการทหารมากกว่า พระองค์ทรงเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจและ การบริหารอย่างมีประสิทธิภาพ รัชกาลที่ 7 ทรงมีความห่วงใยพสก นิกรอย่างมาก ในรัชสมัยของพระองค์ สยามได้นำระบบไปรษณีย์และ โรเลขมาใช้ เริ่มมีการสร้างสนามบินขึ้นที่ทุ่งดอนเมือง น่าเสียดายที่ช่วงเวลานั้นไม่เปิดโอกาสให้พระองค์ได้ทรงทำ ตามแนวคิดในการบริหารประเทศของพระองค์ เพราะทรงครองราชย์ ในสมัยที่เศรษฐกิจทั่วโลกกำลังตกต่ำภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ข้าวซึ่งเป็นรายได้หลักของประเทศราคาตกต่ำอย่างมาก ภาวะเงิน เฟ้อที่ระบาทดไปทั่วโลกส่งผลกระทบต่อรัฐบาลของพระองค์อย่างหลีก เลี่ยงไม่ได้ประกอบกับการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเนื่องจากการใช้จ่าย อย่างฟุ่มเฟือยในรัชกาลก่อนหน้า แม้จะมีการปรับลดคาเงินบาทลง และนำเงินบาทในผูกอัตราแลกเปลี่ยนกับเงินปอนด์ของอังกฤษ แต่ก็ ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ วิกฤติการณ์เหล่านี้ส่งผลให้พระองค์ทรง เลือกที่จะตัดงบประมาณของราชสำนักลง ลดเงินเดือนข้าราชการ และมีการดุลข้าราชการจำนวนหนึ่ง เหตุการณ์นี้ส่งผลให้ข้าราชการ จำนวนหนึ่งเกิดความไม่พอใจ โดยเฉพาะคนหนุ่มที่เพิ่งสำเร็จการ ศึกษามาจากประเทศตะวันตกโดยเฉพาะในยุโรป

ในเวลานั้นกระแสการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบอบอำนาจใหม่ซึ่ง เรียกว่า ประชาธิปไตย ได้เริ่มขึ้น โดยเริ่มจากปัญญาชนรุ่นใหม่ซึ่ง เป็นสามัญชนที่ได้รับการศึกษามาจากยุโรป โดยเฉพาะจากอังกฤษ และฝรั่งเศส ในขณะที่พวกราชวงศ์มักนิยมไปศึกษาที่รัสเซียซึ่งยังปก ครองในระบบสมบูรณษญาสิทธิราช คนหนุ่มเหล่านั้นได้เห็นระบอบการปกครองแบบใหม่ และชื่น ชมในสิทธิความเท่าเทียมกันของประชาชน ขณะที่รัชกาลที่ 7 ทรง ตระหนักดีว่าประชาธิปไตยควรเริ่มใช้เมื่อประชาชนมีความพร้อมก่อน และพระองค์ทรงเห็นว่าในเวลานั้นคนไทยยังไม่พร้อมสำหรับระบบ ใหม่ พระองค์เคยมีพระราชปรารภว่า คนไทยควรมีจิตสำนึกทางการ เมืองเสียก่อน จึงค่อยนำระบบประชาธิปไตยมาใช้

การรัฐประหาร : ข่าวลือเรื่องการรัฐประหารแพร่สะพัดไปทั่ว ในวันฉลองครบรอบ 150 ปีแห่งราชวงศ์จักรีในปี พ.ศ. 2475 อีกสอง เดือนต่อมาในวันที่ 24 มิถุนายน ก็มีการรัฐประหารเกิดขึ้น และเป็น การสิ้นสุการปกครองในระบบสมบูรณาญาสิทธิราช การรัฐประหารเกิดขึ้นโดยกลุ่มบุคคลซึ่งใช้ชื่อว่า คณะ ราษฎร์ อันประกอบด้วยทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน แกนนำของกลุ่ม คณะราษฎร์ล้วนเป็นคนหนุ่มที่สำเร็จการศึกษามาจากยุโรป โดย เฉพาะกลุ่มที่เคยไปศึกษาอยู่ในประเทศฝรั่งเศส แกนนำฝ่ายพลเรือน คือ นายปรีดี พนมยงค์ นักกฎหมายหนุ่มจากฝรั่งเศส ส่วนฝ่ายทหารมี พันเอกหลวงพิบูลสงคราม (แปลก ขีตสังคะ) นายทหารปืนใหญ่จาก ฝรั่งเศสเช่นกันเป็นผู้นำ คณะผู้ก่อการได้เชิญ พลเอกพระยา พหลพล พยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) นายทหารปืนใหญ่ผู้สำเร็จการศึกษามา จากปรัสเซียมาเป็นหัวหน้าคณะรัฐประหาร เนื่องจากเป็นนายทหาร ชั้นผู้ใหญ่ในกองทัพขณะนั้น

เช้าวันที่ 24 มิถุนายน ทหารในฝ่ายคณะราษฎร์ได้นำรถถัง และกำลังทหารจำนวนหนึ่งบุกยึดสถานที่สำคัญๆ ในกรุงเทพฯ ไว้ได้ หมด รวมทั้งทำการควบคุมตัวเจ้านายราชวงศ์ชั้นสูงเอาไว้เป็นตัว ประกันด้วย ขณะนั้นพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 กำลังเสด็จแปรพระราช ฐานอยู่ที่พระราชวังไกลกังวล

แม้ฝ่ายคณะราษฎร์จะมีกำลังน้อยกว่าฝ่ายรัฐบาลมาก แต่ เพื่อหลีกเลี่ยงการนองเลือด รัชกาลที่ 7 ทรงยินดีสละพระราชอำนาจ ของพระองค์ ยอมรับการเป็นกษัตริย์ซึ่งอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญใน ระบอบประชาธิปไตย


ทีมา http://www.baanjomyut.com/library/history_thai/rattanakhosin.html

โบตั๋นกลีบสุดท้าย


บทประพันธ์ กานติมา เรื่องย่อ นวนิยายเรื่อง "โบตั๋นกลีบสุดท้าย" ของ สำเภาทอง ได้รับรางวัลนวนิยายยอดเยี่ยมประจำปี ไม่มีใครรู้ว่าสำเภาทองเป็นใคร เพราะทุกครั้งเขาจะให้ ดนัย เด็กวัดที่ได้รับความช่วยเหลือจากครอบครัว อาเชง เป็นคนนำต้นฉบับและรับเงินให้ทุกครั้ง สำเภาทองแท้จริงคือ ธีรเดช ( อาจู ) ลูกชายคนสุดท้ายของอาเชงกับ เหมยหลิง สองสามีภรรยาที่อพยพจากเมืองจีน มาขายข้าวมันไก่ในเมืองไทย จนส่งเสียลูกชายทั้ง 3 คนคือ ธีรชัย ( อาโจ ), ธีรชาติ ( อาจิว ) และธีรเดช ( อาจู ) จนจบปริญญา อาเชงไม่ค่อยชอบอาจูมากนัก เพราะตอนเหมยหลิงท้องอาจู ครอบครัวเขาลำบากถึงกับอพยพหนีมาเมืองไทย อาจูจึงเป็นลูกชัง ขณะที่อาโจและอาจิวเป็นลูกรักที่ได้ทุกอย่างจากอาเชงตลอดเวลา และมักเรียกอาจูว่า ไอ้ตัวซวย ทำให้อาจูกดดันกับชีวิตเสมอมา อาโจเข้ามาทำงานที่บริษัทขายเครื่องใช้ไฟฟ้า ส่วนอาจิวเข้าทำงานที่ธนาคาร โดยไม่บอกให้อาเชงรู้เพราะกลัวถูกแบ่งเงินเดือน อาจูระบายความในใจลงในบันทึกตามคำแนะนำของดนัย และให้อาจูเขียนเรื่องสั้นส่งนิตยสาร "ระเบียงสยาม" งานเขียนของอาจูเป็นที่ชื่นชอบของแฟนๆ เขาจึงกลายเป็นนักเขียนมืออาชีพในนามปากกา "สำเภาทอง" โดยปิดบังอาเชงและเหมยหลิงเอาไว้ อาโจแต่งงานกับ จรัสศรี ลูกข้าราชการใหญ่ สร้างความช้ำใจให้อาเชงไม่น้อยแต่ไม่เคยบอกใคร อาจูรู้ว่าพ่อผิดหวังมากแต่ไม่สามารถปลอบใจได้ อาเชงมักใช้เวลาว่างอ่านนิตยสารระเบียงสยาม เพราะติดใจการเขียนนวนิยายของสำเภาทองมาก อาจูได้รับการทาบทามให้เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับงิ้ว เขาไม่มีข้อมูลจึงไปสมัครที่คณะงิ้วฉางชิน ที่เป็นแหล่งข้อมูลแต่เกือบไม่ได้ทำงานในคณะเพราะ ตันหยง ลูกสาวคนเล็กของ อาฉาง และอาซิน ไม่เชื่อว่าอาจูด้อยการศึกษาและตกงาน อาจูเห็นว่าครอบครัวอาฉางมีแต่ลูกสาว แต่สามารถให้ความรักความอบอุ่นแกลูกๆ ได้ดี แตกต่างจากครอบครัวของเขาที่มีแต่ลูกชาย แต่กลับได้รับความรักไม่เท่ากัน อาจูจึงเอาเรื่องราวชีวิตของอาฉางและข้อมูลเกี่ยวกับงิ้วที่ได้จาก อาซุ่น คนสอนงิ้วของคณะเป็นผู้ให้ข้อมูล ดาหลา ลูกสาวคนโตของอาฉางแต่งงานกับ พงษ์เลิศ ลูกชายของ เจ้าสัวกำจร กับมาดามเหลียว จนมีลูก 2 คนคือ หยก กับหงส์ ปาหนัน ลูกสาวคนกลางเป็นนางเอกงิ้วที่ เสี่ยเดชา เจ้าของร้านทองจอมอันธพาล, อดิเทพ ผู้กำกับละครเวทีชื่อดัง และ แอนดี้ เพลย์บอยหนุ่มนักเรียนนอกรุมจีบ ตันหยงเป็นลูกสาวคนเล็กที่อยากเปิดอู่ซ่อมรถ มีนิสัยห้าว ชอบโต้เถียงกับอาฉางเป็นประจำ จนเธอคิดว่าพ่อไม่รักเหมือนลูกคนอื่น อาหลง เด็กกำพร้าที่อาฉางและอาซินเลี้ยงไว้เพราะอยากได้ลูกชาย เขาทำทุกอย่างในคณะที่เป็นการตอบแทนบุญคุณ และแอบรักปาหนัน ข้อมูลทั้งหมดอาจูได้ฟังจากอาซุ่น จึงตั้งชื่อนวนิยายเรื่องใหม่ว่า "โบตั๋นกลีบสุดท้าย" อาเชงทำงานหนักเพราะหวังเก็บเงินให้ลูกรักทั้ง 2 ได้สบาย จนต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลด้วยโรคไต เขาไม่รู้เลยว่าเงินทุกบาทที่จ่ายไปนั้นเป็นเงินที่อาจูหามาจากงานเขียนหนังสือ อาเชงเชื่อว่าอาโจกับอาจิวต้องไปสอนพิเศษเพื่อหาเงินมารักษาตน อาจูกับเหมยหลิงปิดปากเงียบไม่ยอมบอกให้อาเชงรู้ เพราะกลัวว่าอาเชงจะไม่ยอมรักษาตัว ดนัยเห็นอาเชงอคติกับอาจูตลอดเวลา จึงเอานิตยสารระเบียบสยามมาให้อ่าน อาเชงได้อ่านเรื่อง "โบตั๋นกลีบสุดท้าย" เรื่องราวของครอบครัวจีนที่มีลูกๆ 3 คนมาอ่าน อาเชงอ่านแล้วอินไปกับเรื่องราว อาเชงรู้ว่าอาจูทำงานในสำนักพิมพ์นี้ จึงฝากอาจูไปชมสำเภาทอง อาจูตื้นตันใจมากที่พ่อกล่าวชมเขาเป็นครั้งแรก แม้พ่อจะไม่รู้ว่าเขาคือสำเภาทองก็ตามที งานแสดงงิ้วเริ่มซบเซา อาฉางไม่อยากให้ศิลปะงิ้วหายไป จึงปรับปรุงการแสดงครั้งยิ่งใหญ่ โดยกู้เงินจากเสี่ยเดชามาใช้ เสี่ยเดชาเป็นคนเจ้าเล่ห์และชอบปาหนันอยู่ เขาจึงยื่นข้อเสนอว่าหากอาฉางหาเงินมาใช้หนี้ไม่ทันกำหนด จะต้องยกปาหนันให้ตนอาฉางยอมตกลง และพยายามทำให้การแสดงมีคนเข้าชมมากๆ เมื่อเสี่ยเดชาเห็นว่าอาฉางจะหาเงินมาใช้หนี้ตนได้ จึงส่งลูกน้องมากลั่นแกล้งจนทำให้โรงงิ้วไฟไหม้ การแสดงต้องยุติลง อาจูยื่นมือเข้ามาช่วยด้วยการให้ไปแสดงที่โรงหนัง และเขาเป็นคนช่วยเขียนบทการแสดง ทำให้ครอบครัวอาฉางพ้นวิกฤตินี้ไปได้ ตันหยงทีแรกตั้งตนอคติกับอาจู คอยหาเรื่องกลั่นแกล้ง และคิดจะกระชากหน้ากากเขาตลอดเวลา แต่เมื่อเห็นความดีของอาจูที่คอยช่วยเหลือครอบครัว ความรู้สึกเธอจึงเปลี่ยนไปและโอนเอนมาทางแอบชอบ ขณะที่ความรักของทั้งสองกำลังก่อตัวขึ้น ความลับที่อาจูปิดบังไว้มาตลอดก็ถูกเปิดโปงขึ้น เมื่อตันหยงจับได้ว่าอาจูเป็นนักเขียนนวนิยายในนามสำเภาทอง ทุกคนผิดหวังในตัวเขามากจึงไล่อาจูออกไปจากคณะ อาจูแอบไปดูคณะงิ้วซ้อมการแสดงที่โรงหนัง ช่วงนั้นคณะกำลังมีปัญหาเพราะตันหยงหายตัวไป อาฉางก็ป่วยหนักจนเข้าโรงพยาบาล อาจูเห็นว่าพ่อลูกทะเลาะกันจึงหาเหตุให้ตันหยงไปเยี่ยมพ่อที่โรงพยาบาล จนทำให้พ่อลูกสามารถปรับความเข้าใจกันได้ ในวันเกิดอาหลงเขานัดปาหนันไปกินข้าว แต่ปาหนันผิดนัดปล่อยให้อาหลงนั่งอยู่ที่ร้านเพียงลำพัง จึงถูกเสี่ยเดชาและลูกน้องรุมทำร้ายจนขาหัก ไม่สามารถแสดงงิ้วได้อีก อาฉางจึงต้องตามตัวอาจูมาแสดงแทน ดาหลาจับได้ว่าพงษ์เลิศเป็นเกย์จึงขอหย่ากับเขา โดยนำลูกทั้งสองไปเลี้ยงเอง เจ้าสัวกำจรผิดหวังในตัวลูกชายมาก จึงไล่ออกจากบ้าน พงษ์เลิศตัดสินใจไปใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกากับคู่ขา อาเชงรู้ความจริงว่าอาจูซื้อบ้านสวนเอาไว้ แทนที่จะดีใจกลับโกรธจัดเพราะเข้าใจว่าลูกชายไปทำงานผิดกฎหมาย จนดนัยต้องโพล่งความจริงออกมาว่า อาจูใช้เงินจากงานเขียนนวนิยายซื้อบ้านหลังนั้นไว้ และเหมยหลิงยังบอกอีกว่าอาจูเป็นคนออกค่ารักษาตัวให้เขา ไม่ใช่อาจิวและอาโจอย่างที่อาเชงเข้าใจ อาเชงฟังแล้วสะท้อนใจอย่างแรง เมื่อรู้ว่าลูกชังไม่เคยทอดทิ้งเขาเลย ผิดกับลูกรักทั้งสองที่ไม่เคยมาเหลียวแล อาเชงตัดสินใจหนีออกจากบ้าน แต่ก็แอบไปดูการแสดงงิ้วของอาจูที่โรงหนัง และในที่สุดอาจูกับอาเชงก็ได้ปรับความเข้าใจกัน ปาหนันรู้ว่าอาจูมีใจให้ตันหยง จึงร่วมมือกับอาหลงหาทางให้คนทั้งสองได้สารภาพรักกัน อาจูถือโอกาสบอกรักตันหยงขณะที่แสดงงิ้วบนเวที สร้างความหวั่นไหวให้เธอไม่น้อย อาจิวถูกจับได้ว่ายักยอกเงินธนาคารจึงถูกจับเข้าคุก ให้อาโจมาประกันตัวแต่อาโจปฏิเสธเพราะกลัวพาดพิงมาถึงตน อาจิวโกรธพี่ชายมากจึงเขียนจดหมายไปบอกจรัสศรีว่าอาโจมีเมียน้อย จรัสศรีพาลูกน้องไปยิงอาโจจนกลายเป็นอัมพาต อาเชงสงสารลูกชายจับใจจึงตัวมาดูแลที่บ้าน ตันหยงเรียนจบวิชาช่างมาแล้ว อาฉางจึงให้ทุนเปิดอู่ซ่อมรถตามความฝัน และให้ดูแลคิวการแสดงของคณะงิ้วฉางซิน ที่กำลังก้าวหน้าไปด้วยดี "โบตั๋นกลีบสุดท้าย" ได้รับรางวัลงานเขียนนวนิยายดีเด่นประจำปี อาจูขึ้นไปรับรางวัลนี้ด้วยความภาคภูมิใจ ไม่นานนักเขาก็เริ่มงานเขียนชิ้นใหม่ในเรื่อง "คือวันที่ฉันรอ" โดยสำเภาทอง และมีตันหยงคอยให้กำลังใจอยู่ข้างกาย


แนวละคร ดราม่า บทประพันธ์ กานติมา บทโทรทัศน์ เอกลิขิต กำกับการแสดง ชนะ คราประยูร ออกอากาศทุกวัน จันทร์ - อังคาร เวลา 20.30 น. ทางไทยทีวีสีช่อง 3 ในปี พ.ศ.2551 รายชื่อนักแสดง อธิชาติ ชุมนานนท์ รับบท ธีรเดช ( อาจู ) ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ รับบท ตันหยง เกียรติกมล ล่าทา รับบท อาหลง เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์ รับบท ปาหนัน วริษฐ์ ทิพโกมุท รับบท พงษ์เลิศ เพชรลดา เทียมเพชร รับบท ดาหลา นิรุตติ์ ศิริจรรยา รับบท อาเชง เศรษฐา ศิระฉายา รับบท อาฉาง ทาริกา ธิดาทิพย์ รับบท อาซิน
ทีมา http://movie.sanook.com/21468/%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%84%E0%B8%A3-%E0%B9%82%E0%B8%9A%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B9%8B%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2/

พรายปรารถนา


บทประพันธ์ กิ่งฉัตร เรื่องย่อ ปมปริศนาการตายอย่างลึกลับของ จุลจันทร์ หญิงสาวสวย เรียบร้อยอ่อนหวาน และยึดมั่นในความรักแม้ว่าความตายก็ไม่สามารถพรากเธอไปจากแฟนหนุ่ม นิมมาน ชายหนุ่มที่มีบุคลิกเงียบขรึม ค่อนข้างใจร้อน ลูกชายคนเดียวของท่านนายพลนครที่ไม่ค่อยชอบจุลจันทร์มากนัก จนทำให้วิญญาณรักของเธอยังวนเวียนอยู่ในที่เกิดเหตุไม่ไปไหน หลังจากการตายของจุลจันทร์ เรื่องราวทั้งหมดก็ถูกปิดเงียบไม่มีใครพูดถึง จนกิรณา AE สาวประจำบริษัทโฆษณาของเด่นภูมิ ได้ย้ายเข้ามาพักในห้องที่จุลจันทร์ถูกฆ่าตาย ทุกๆ คืนกิรณาก็พบกับความฝันแปลกๆ ที่เห็นภรรยาสาวท้องอ่อนๆ ที่เฝ้าดูแลกันด้วยความรักภายในห้องของเธอ รวมถึงภาพการฆาตกรรมที่ไม่เห็นหน้าของผู้ร้าย จนวันหนึ่งเธอก็ได้มาพบกับนิมมานเพื่อนของเด่นภูมิ ทำให้เธอรู้ว่านิมมานเป็นผู้ชายคนเดียวกับคนที่เธอเห็นในฝัน และเธอก็รู้ว่าความฝันที่เธอได้เห็นนั้นไม่ใช่เรื่องธรรมดา มีบางอย่างที่อยากจะให้เธอช่วย กิรณาเลยเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ พีรยศ สาวประเภทสองเพื่อนสนิทในที่ทำงานของเธอฟัง ทั้งสองพยายามสืบค้นเรื่องราวการตายของจุลจันทร์ แต่ก็ถูกขัดขวางจากเด่นภูมิ และวิรตี ภรรยาสาวของเด่นภูมิที่แอบหลงรักนิมมาอยู่ วิญญาณของจุลจันทร์มาขอให้กิรณาพานิมมานมาหาเธอที่ห้องนี้อีกครั้ง ยิ่งสืบค้นเท่าไหร่ก็ทำให้กิรณาใกล้ชิดกับนิมมานสนิทกันมากขึ้นจนเกิดเป็นความรัก ทำให้วิรตีไม่พอใจขู่ว่าจะทำร้ายเธอถ้าหากเธอมายุ่งกับนิมมาน รวมทั้งวิญญาณของผีสาวที่คิดว่ากิรณาจะมาแย่งคนรักไป เลยเปลี่ยนมาเป็นความริษยาต่อกิรณาแทน ทำร้ายกิรณาจนเข้าโรงพยาบาล พอนิมมานรู้เรื่องทั้งหมดก็รีบไปพบวิญญาณของจุลจันทร์ที่ห้องนั้นอีกครั้ง นิมมานอธิบายความรู้สึกทั้งหมดว่าเขาไม่เคยหมดรักเธอเลย แต่ทั้งเขาและเธอต่างอยู่กันคนละโลก จุลจันทร์เข้าใจและหายตัวไปจากห้องนั้นไม่ปรากฏร่างให้เห็นอีกเลย นิมมานตัดสินใจที่จะรื้อฟื้นคดีฆาตกรรมของจุลจันทร์ขึ้นมาอีกครั้ง แต่ก็ถูกขัดขวางจากหลายๆ คนทั้ง เด่นภูมิ, วิรตี และ เกริก ทหารคนสนิทของพ่อที่เกิดและเติบโตมาพร้อมๆ กับนิมมาน ระหว่างที่นิมมานพากิรณามาเก็บข้าวของในห้องพักเพื่อหาที่อยู่ใหม่ แต่แล้วบุคคลลึกลับก็บุกเข้ามาในห้องแล้วทำร้ายนิมมานจนสลบก่อนจะหันไปรัดคอกิรณา บุคคลลึกลับคนนั้นคือ...เกริก เขาพยายามที่จะฆ่าปิดปากกิรณาและนิมมานเพราะเขาเองคือฆาตกรตัวจริงที่ฆ่าจุลจันทร์ ในวันที่เกิดเหตุท่านนายพลสั่งให้เกริก ไปสั่งสอนจุลจันทร์ว่าไม่ให้ยุ่งกับนิมมาน แต่เกริกกลับอิจฉาริษยาทั้งหน้าที่การงาน และความรักของนิมมานเลยจัดการฆ่ารัดคอจุลจันทร์ และลวงให้ทุกคนคิดว่าเป็นฝีมือของนิมมาน ส่วนเด่นภูมิจริงๆแล้วเป็นเกย์แอบหลงรักนิมมานอยู่ ที่ต้องแต่งงานกับวิรตีเพราะว่าในวันที่เกิดเหตุ เด่นภูมิปลอมตัวเป็นผู้หญิงเพื่อจะเข้าไปแกล้งบอกกับจุลจันทร์ว่าอย่ามายุ่งกับนิมมานแต่เห็นจุลจันทร์นอนตายอยู่ เลยตกใจรีบไปบอกวิรตี เวลานั้นวิรตีคิดแต่จะช่วยเด่นภูมิจึงให้เด่นภูมิแต่งงานกับเธอเพื่อกลบเกลื่อน ในขณะที่กิรณากำลังจะหมดลมหายใจ วิญญาณของจุลจันทร์ก็ปรากฏตัวขึ้นมาช่วยกิรณา และแก้แค้นเกริกได้ในที่สุด หลังจากทุกอย่างคลี่คลายกิรณาและนิมมานกลับไปที่ห้องพักนั้นอีกครั้ง กลิ่นหอมของดอกจันทร์กระพ้ออบอวล วิญญาณของจุลจันทร์มาร่ำลากิรณา และฝากฝังให้กิรณามีความรักที่มั่นคงกับนิมมาน กิรณารับปากว่าจะรักและดูแลนิมมานอย่างดีสมกับความปรารถนาของจุลจันทร์



แนวละคร เขย่าขวัญ ดราม่า บทประพันธ์ กิ่งฉัตร บทโทรทัศน์ ศาสวัต กำกับการแสดง ฉัตรชัย นาคสุริยะ ออกอากาศทุกวัน จันทร์-อังคาร เวลา 20.30 น. ทางไทยทีวีช่อง 3 ในปี พ.ศ.2547 รายชื่อนักแสดง ธนากร โปษยานนท์ รับบท นิมมาน ธัญญาเรศ รามนรงค์ รับบท จุลจันทร์ น้ำทิพย์ จงรัชตวิบูลย์ รับบท กิรณา เมธี อมรวุฒิ รับบท เด่นภูมิ พรนภา เทพทินกร รับบท วิรตี สุรพันธ์ ชาวปากน้ำ รับบท เกริก ฝันเด่น จรรยาธนากร รับบท พีรยศ



ทีมา http://movie.sanook.com/21306/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%99%E0%B8%B2/

นวนิยายเรื่องในฝัน

ในฝัน


บทประพันธ์ โรสลาเรน เรื่องย่อ เจ้าชายพิรียพงศ์ รัชทายาทแห่งแคว้นพรหมมินทร์ เสด็จไปทรงศึกษาวิชาสำหรับกษัตริย์กับ เจ้าชายโอริสสาวัฒนา หรืออีกพระนามหนึ่งว่า เจ้าชายเสนาบดี ณ แคว้นกุสารัฐ ที่นั่นเจ้าชายพิรียพงศ์ทรงทราบว่า เจ้าหลวงกุสารัฐ ซึ่งทรงพระชราภาพ มีพระธิดาองค์เดียวซึ่งทรงมีพระสิริโฉมงดงามมากคือ เจ้าหญิงรัชทายาท ผู้ซึ่งจะขึ้นครองบัลลังก์ต่อจากพระราชบิดา เจ้าหญิงเป็นที่หมายปองของเจ้าชายที่เป็นพระญาติพระวงศ์ โดยเฉพาะ เจ้าชายชัยฉัตร ซึ่งจบการทหาร และเจ้าชายบุษกร ผู้ซึ่งศึกษา ณ ประเทศฝรั่งเศส แต่เจ้าหญิงรัชทายาทไม่เคยมีพระเนตรประทานใครอื่นเลย นอกจากเจ้าโอริสสาวัฒนาแต่พระองค์เดียว แม้กระนั้นเจ้าชายโอริสสาวัฒนาก็ไม่เคยแสดงความสนพระทัยในองค์เจ้าหญิงรัชทายาทแม้แต่น้อย เพราะพระองค์สนพระทัยอยู่แต่ภาระและหน้าที่ในฐานะเสนาบดีแห่งสมาพันธรัฐ ผู้อยู่เบื้องหลังการปกครองแคว้นกุสารัฐ ซึ่งกำลังระส่ำระสายด้วยการแก่งแย่งอำนาจ โดยฝ่ายของเจ้าชายชัยฉัตรและเจ้าชายบุษกร รวมทั้งขุนนางผู้ใหญ่ที่คิดกบฏ รวมถึงเทวีศุลีพร ที่ราชสำนักกุสารัฐนี่เอง เจ้าชายพิรียพงศ์ทรงเป็นทั้งลูกศิษย์และราชเลขานุการส่วนพระองค์ในเจ้าชายโอริสสาวัฒนา ทำให้เจ้าชายพิรียพงศ์ได้ทรงเรียนรู้ถึงพระปรีชาสามารถอันล้ำลึกในการปกครอง ทั้งทางด้านการเมือง การทหาร และการทูตในองค์เจ้าชายโอริสสาวัฒนา ทั้งยังทรงเห็นว่าทรงอุทิศพระวรกายและพระหฤทัยให้แก่หน้าที่เจ้าชายเสนาบดีอย่างเต็มพระกำลัง ทรงเปี่ยมได้ด้วยคุณธรรมและสถิตอยู่ในความยุติธรรม ทำให้ทรงเป็นที่รักและเคารพยำเกรงอย่างยิ่ง ต่อทุกคนที่ประพฤติอยู่ในทำนองครองธรรม และเป็นที่เกลียดชังแก่ทุกคนที่ไม่หวังดีต่อราชบัลลังก์ โดยเฉพาะเจ้าชายบุษกรผู้ทรงวางแผนล้มราชบัลลังก์ร่วมกับ นายพลตรีสุรีเทพ และเทวีศุลีพร สาวผู้มักใหญ่ใฝ่สูง ทำให้เจ้าชายโอริสสาวัฒนาต้องวางแผนรักษาราชบัลลังก์อย่างแยบยล ในช่วงเวลานี้นี่เองที่เจ้าชายพิรียพงศ์ได้ทรงทราบว่า เจ้าชายโอริสสาวัฒนาทรงเป็นสหายวัยเยาว์กับ เจ้าหญิงพรรณพิลาศ พระพี่นางของพระองค์ ทั้งคู่ได้ทรงเขียนจดหมายโต้ตอบสื่อสารกันเป็นนิตย์ไม่ขาดระยะ และมักทรงปรึกษาหารือส่วนพระองค์และราชการอยู่เสมอ จนมิตรภาพระหว่างทั้งสองพระองค์กลายเป็นความรักซึ่งฝังรากลึกในพระราชหฤทัยของสองพระองค์ เจ้าหญิงรัชทายาทก็ได้เสด็จมาปรึกษากับเจ้าชายพิรียพงศ์หลายครั้ง
ในความที่ทรงน้อยพระทัยในเจ้าชายโอริสสาฒนา เลยทำให้เจ้าชายพิรียพงศ์ทรงสงสารและเห็นพระทัยเจ้าหญิงรัชทายาท จนเกิดเป็นความรักโดยไม่รู้พระองค์ เมื่อมีการประชุมสภาเพื่อเลือกราชทูตไปทำสันถวไมตรีกับประเทศยุโรป เจ้าชายโอริสสาวัฒนาทรงแสดงท่าทีอย่างชัดเจนในการสนับสนุนเจ้าชายชัยฉัตร เพราะทรงมีคุณลักษณะเหมาะสมกว่าเจ้าชายองค์ใด จนในที่ประชุมเห็นชอบอย่างเอกฉันท์ ทำให้เจ้าชายบุษกรผู้หวังในตำแหน่งนั้นไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ส่วนเจ้าชายชัยฉัตรจึงหันมาสวามิภักดิ์ต่อเจ้าชายโอริสสาวัฒนาอย่างไม่แคลงพระทัยอีกต่อไป สร้างความแค้นใจต่อเจ้าชายบุษกรมากยิ่งขึ้น ในระหว่างนั้นเองที่แคว้นพรหมมินทร์ เจ้าชายโสภณา แห่งแคว้นสาละวัณได้เสด็จประพาสแคว้นพรหมมินทร์ เจ้าหญิงพรรณพิลาศได้ทรงอักษรมาถวายเจ้าชายโอริสสาวัฒนาว่า เจ้าชายโสภณาทรงเป็นเจ้าชายรูปงาม แถมยังโปรดปรานศิลปะเช่นเดียวกับเจ้าหญิง และเจ้าชายยังสนพระทัยเจ้าหญิงอย่างสังเกตได้ชัด เหตุการณ์นี้จึงทำให้เจ้าชายโอริสสาวัฒนาทรงหนักพระทัย ด้วยเกรงว่าความรักจะหลุดลอย ต่อมาเจ้าหลวงกุสารัฐก็ทรงประชวร มีรับสั่งให้เจ้าชายโอริสสาวัฒนาอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงรัชทายาท แต่เจ้าชายโอริสสาวัฒนาทรงปฏิเสธและแสดงความเห็นว่า เจ้าชายพิรียพงศ์มีคุณสมบัตินานัปการคู่ควรกับเจ้าหญิงรัชทายาท ซึ่งเจ้าหลวงกุสารัฐก็ต้องยินยอมตามความประสงค์นั้น สร้างความเสียพระทัยต่อเจ้าหญิงรัชทายาทเป็นอย่างยิ่ง เจ้าชายโอริสสาวัฒนาก็ทรงทูลลาเสด็จไปยังแคว้นพรหมมินทร์เป็นการด่วน เพื่อกีดกันเจ้าหญิงพรรณพิลาสกับเจ้าชายโสภณา เจ้าชายพิรียพงศ์จึงมีโอกาสใกล้ชิดเจ้าหญิงรัชทายาทและเริ่มรู้ใจกัน ที่แคว้นพรหมมินทร์ ท่ามกลางงานเลี้ยงอำลาเจ้าชายโสภณา ข้าหลวงมาทูลเจ้าหญิงพรรณพิลาศว่ามีผู้มาขอเฝ้า ในคืนนั้นเองพระสหายที่รักกันยิ่งก็ได้พบกัน หลังจากทรงจากกันมานานถึงสิบกว่าปี ทั้งสองพระองค์รำลึกถึงวันวานจนสัมพันธภาพลึกซึ้งและหวานชื่นเกินกว่าคำบรรยาย รุ่งขึ้นก่อนเจ้าชายโสภณาจะเสด็จกลับทรงขอเจ้าหญิงพรรณพิลาศทรงเป็นราชินีแห่งแคว้นสาละวัน แต่เจ้าหญิงทรงปฏิเสธได้อย่างชาญฉลาด เจ้าชายโสภณาเสด็จจากไปด้วยความเสียพระทัย ที่แคว้นพรหมมินทร์เจ้าชายโอริสสาวัฒนาได้เข้าเฝ้าเจ้าหลวงพรหมมินทร์ ทูลข่าวเรื่องงานวิวาห์ของเจ้าชายพิรียพงศ์ และทูลขออภิเษกกับเจ้าหญิงพรรณพิลาศ ซึ่งเจ้าหลวงทรงตอบรับด้วยดี เมื่อเจ้าชายโอริสสาวัฒนาเสด็จกลับกุสารัฐ มรุต ราชองครักษ์ก็ทูลว่ามีการก่อกบฏซ่องสุมกันอยู่ในชนบท เจ้าชายโอริสสาวัฒนาจึงขอเข้าเฝ้าเจ้าหลวงกุสารัฐขอพระราชทานอำนาจให้เจ้าหญิงรัชทายาททรงประกาศกฎอัยการศึกปราบปรามกบฏ ซึ่งคาดว่าเป็นเจ้าชายบุษกรและพรรคพวก แล้วเจ้าชายโอริสสาวัฒนา, เจ้าชายพิรียพงศ์ และมรุ็ออกเดินทางไปยังหมู่บ้านที่มีสายรายงานว่าเป็นแหล่งซ่องสุม มีการต่อสู้เกิดขึ้นจนมรุตได้รับบาดเจ็บ แต่เจ้าชายบุษกรและพรรคพวกหนีไปได้ และตั้งพระทัยที่จะอาฆาตเจ้าชายโอริสสาวัฒนาถึงชีวิต เจ้าชายชัยฉัตรซึ่งเสด็จยุโรปทรงทราบเรื่องกบฏ ก็รีบกลับกุสารัฐและพร้อมที่จะเป็นกำลังปราบปรามกบฏในครั้งนี้ ในฐานะที่ทรงเป็นชายชาติทหาร แล้ววันอภิเษกของเจ้าหญิงรัชทายาทและเจ้าชายพิรียพงศ์ก็มาถึง เจ้าหลวงแห่งพรหมมินทร์และพระมเหสีเสด็จมาร่วมงาน เพื่อทรงปรึกษาเรื่องวันอภิเษกของเจ้าชายโอริสสาวัฒนาและเจ้าหญิงพรรณพิลาศต่อสภาสมาพันธรัฐ ซึ่งทุกฝ่ายก็เห็นชอบให้จัดงานขึ้นต่อจากงานอภิเษกของเจ้าหญิงรัชทายาทกับเจ้าชายพิรียพงศ์ งานอภิเษกของเจ้าหญิงรัชทายาทและเจ้าชายพิรียพงศ์ในครั้งนี้จัดให้มีการเฉลิมฉลองอย่างมโหฬารรวมทั้งงานซ้อมรบ เจ้าหญิงรัชทายาททรงทำใจเรียนรู้ที่จะรักเจ้าชายพิรียพงศ์ และเจ้าชายก็ทรงรักเจ้าหญิงแบบพระชายาแทนที่พระองค์จะทรงรักแบบพระสหายเช่นเดิม ในงานซ้อมรบที่จัดขึ้นในวันอภิเษกนั่นเองขณะที่เจ้าชายโอริสสาวัฒนาทรงม้าไปเก็บดอกหยาดฝน อันเป็นดอกไม้ประจำพระองค์เจ้าหญิงพรรณพิลาศ เจ้าชายบุษกรก็ใช้พระแสงปืนสังหารเจ้าชายโอริสสาวัฒนาสิ้นพระชนม์ลงต่อหน้าเจ้าชายพิรียพงศ์และมรุต เจ้าชายชัยฉัตรตามหาตัวคนร้ายอย่างบ้าคลั่ง จนในที่สุดก็สังหารเจ้าชายบุษกรอย่างเหี้ยมโหดสมกับบาปกรรมที่ทรงก่อไว้ เจ้าหลวงพรหมมินทร์เสด็จกลับแคว้นและนำข่าวร้ายมาบอกแก่พระธิดา เจ้าหญิงพรรณพิลาศทรงโศกเศร้าอาดูรสุดจะพรรณนา แต่แล้วก็ทรงพบว่า สิ่งต่างๆ ที่เราเห็นอยู่นั้นไม่คงทนแน่นอน สิ่งที่เราประสบอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน พอลืมตาขึ้นก็หายไปหมด เหมือนเป็นในฝันนั่นเอง


แนวละคร ดราม่า บทประพันธ์ โรสลาเรน บทโทรทัศน์ หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล กำกับการแสดง หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล ออกอากาศทุกวัน เสาร์-อาทิตย์ เวลา 21.00 น. ทางโมเดิร์นไนน์ ปี พ.ศ.2548 รายชื่อนักแสดง ธีรภัทร์ สัจจกุล รับบท เจ้าชายโอริสสาวัฒนา ซาร่า มาลากุล เลน รับบท เจ้าหญิงพรรณพิลาศ อนันดา เอเวอริ่งแฮม รับบท เจ้าชายพิรียพงศ์ เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์ รับบท เจ้าหญิงรัชทายาท เพ็ญเพ็ชร เพ็ญกุล รับบท เจ้าชายโสภณา โอลิเวอร์ พูพาร์ต รับบท เจ้าชายชัยฉัตร อรรถชัย อนันตเมฆ รับบท เจ้าชายบุษกร เบญจสิริ วัฒนา รับบท เทวีศุลีพร ชลิต เฟื่องอารมณ์ รับบท เจ้าหลวงกุสารัฐ
ทีมา http://movie.sanook.com/21818/%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9D%E0%B8%B1%E0%B8%99/

เรือนไม้สีเบจ

เรือนไม้สีเบจ



บทประพันธ์ ว.วินิจฉัยกุล เรื่องย่อ มุก หญิงสาวที่เกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวย ชอบมองโลกในแง่ดีอยู่เสมอ เมื่อครั้งยังเด็กเธอได้ถูก นายแม่ ขอไปเลี้ยงความเป็นอยู่ของเธอจึงไม่ค่อยหรูหราเหมือนพี่น้องคนอื่นเท่าใดนัก โชคร้ายที่เธอยังมักจะถูก ธัญญา ผู้เป็นแม่หมั่นไส้การกระทำของเธออยู่ เสมอ ๆ มุกเป็นเด็กขยันจนกระทั่งเธอได้เข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง จนเป็นเหตุบังเอิญให้เธอได้มาพบกับ อาร์ม หนุ่มหล่อที่เป็นที่หมายตาของบรรดาสาว ๆ ทั่วทั้งมหาวิทยาลัย รวมไปถึง ขจีรัตน์ สาว เปรี้ยว เซ็กซี่ ที่หมายมั่นจะให้อาร์มตอบรับความรักที่เขามีให้ หลังจากที่ยายของอาร์มเสียชีวิตลง เขาก็ได้อาศัยอยู่ใน เรือนไม้สีเบจ เพียงลำพัง โดยมี ลุงช่วง คนสนิทเป็นผู้คอยดูแลบ้าน ให้กับเขาอาร์มกับมุขเริ่มสนิทสนมกันมากขึ้น คอยดูแลช่วยเหลือซึ่งกันและกันในเรื่องการเรียนจนทำให้ทั้งสองรู้สึกถึงความผูกพันจนในที่สุดก็กลับกลายมาเป็นความรัก นายแม่ถูกชะตากับอาร์มเป็นอย่างมาก ซึ่งผิดกับธัญญาที่คอยดูถูกอาร์มอยู่เสมอว่าเป็นคนธรรมดาไร้ฐานะความผูกพันระหว่างอาร์มกับมุขค่อย ๆ ก่อตัวขึ้น แต่ในบางครั้งเขาทั้งสองก็ต้องพบกับอุปสรรค ส่วนใหญ่มักจะเป็นปัญหาที่เกิดจากจี เธอมักจะคอยแสดงตัวเป็นเจ้าของอาร์มเสมอทั้งที่จริง ๆ แล้วอาร์มเองไม่ได้รู้สึกกับจีแบบคนรักเลย จนทำให้บางครั้งมุขเกิดความรู้สึกไม่แน่ใจ ในตัวของอาร์ม หากแต่ทุกครั้งที่เกิดปัญหาก็ยังคงมีหยุ่น กับเข็ม เพื่อรักที่คอยให้กำลังใจเธออยู่เสมอ เวลาผ่านไปไม่นานอาร์มเรียนจบชั้นปีที่ 4 เขาได้ไปศึกษาต่อที่ประเทศอเมริกา ซึ่งการไปของเขาครั้งนี้ได้ไปอาศัยอยู่กับ ยศ พ่อของเขาที่หย่าร้างกับ สรวงสินี ผู้เป็นแม่ ตั้งแต่อาร์มยังเด็ก เหตุผลก็เพราะเธอมัวแต่หมกหมุ่นอยู่กับสังคมไฮโซจนไม่มีเวลาดูแลลูก อาร์ม รู้สึกไม่ ชอบใจเมื่อรู้ว่าแม่ไปแต่งงานอยู่กินกับ ศก ทั้ง ๆ ที่รู้ว่า จุลศก และ ศศิ ลูกติดของศกไม่ชอบหน้าเธอ ก่อนที่อาร์มจะมาเรียน ต่อที่อเมริกาเขาให้สัญญากับมุขว่าจะรักกันตลอดไป อาร์มตั้งใจเก็บเงินสร้างฐานะให้ดีขึ้นเพื่อดูแลมุก มุกตั้งใจเรียนให้จบและระหว่างนั้น
เธอก็ดูแลนายแม่ไปด้วย เธอนั้นติดต่ออยู่กับอาร์มเสมอ ๆ ทางอินเตอร์เน็ต เมย์ พี่สาวของมุกได้คบหาอยู่กับจุลศก แต่หารู้ไม่ว่าแฟนหนุ่มของเธอได้แอบชอบมุก แต่มุกไม่สนใจ มุกตกใจกับข่าวที่ว่าอาร์มเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ สาเหตุเนื่องมาจากจีหึงหวงที่อาร์มรักมุก จึงเกิดปากเสียงกันขั้นถึงขั้นยื้อแย่งพวงมาลัยจนเป็นเหตุให้รถเสียหลักตกลงข้างทาง อาร์มบาดเจ็บถึงขั้นพิการ เขาเสียใจที่ทำอย่างที่ฝันไว้ไม่ได้ อาร์มตัดสินใจเขียนจดหมายบอกความในใจกับมุกว่าเขาไม่ต้องการเหนี่ยวรั้งให้เธออยู่กับคนพิการอย่างเขา หากเธอพบคนที่ดีกว่าก็ให้ไป มุกเสียใจมากแต่เธอก็ยืนยันว่าเธอจะรักอาร์มต่อไป นายแม่เริ่มชรา จนร่างกายไม่แข็งแรงเธอ มัวดูแลนายแม่จนลืมนึกถึงอาร์ม สรวงสินีก็มัวแต่ห่วงเรื่องสมบัติ เหตุผลเพราะศกเริ่มมีอาการเจ็บป่วยมากยิ่งขึ้น ซึ่งเธอเองก็ได้รับส่วน แบ่งมามากแต่เก็บไว้มิให้ใครรู้ มุกดีใจมากที่อาร์มกลับมาเมืองไทย เธอพาเขาไปกราบนายแม่ บังเอิญไปพบจุลศกเข้า จุลศกแค้นที่รู้ว่า อาร์มและมุกรักกัน เขาพยายามหาวิธีที่จะกำจัดอาร์มไปให้พ้นทาง หลังจากที่มุกเรียนจบเธอ ตัดสินใจแต่งงานแบบเรียบง่าย โดยมีนายแม่เป็นสักขีพยาน ธัญญาทราบเรื่องถึงขั้นตัดแม่ตัดลูกและไล่มุกออกจากบ้าน ส่วนนายแม่ไม่นานก็เสียชีวิตลง มุกจึงย้ายไปอยู่กับอาร์มที่เรือนไม้สีเบจ ทั้งสองพยายามหาหนทางเพื่อเลี้ยงชีพในครอบครัว โดยการทำธุรกิจเย็บกระเป๋าสตางค์ส่งนอก ซึ่งก็ได้แม่ของอาร์มเป็นคนติดต่อลูกค้าให้ มุกและอาร์มพยายามวิ่งเต้นเรื่องพินัยกรรมของนายแม่ที่ถูกจุลศกใช้แผนสกปรก แต่ในที่สุดก็ไม่สำเร็จ เวลาผ่านไป ไม่นานมุกก็ได้ให้กำเนิดบุตรชายออกมาชื่อ น้องออม หลังจากศกเสียชีวิตลงสรวงสินีจึงได้กลายมาเป็นเศรษฐินีในที่สุด มุกและอาร์มมีความสุขได้เพียงไม่นานก็ต้องพบกับอุปสรรค เมื่อจีเข้ามาวุ่นวายในชีวิตครอบครัวของเธออีกครั้ง เนื่องจากจีวางแผนล่อลวงอาร์มให้มาติดกับจุลศก เขาซ้อมอาร์มเกือบปางตาย จนทำให้มุกเข้าใจผิดคิดว่าอาร์มกลับไปยุ่งกับจี เธอตัดสินใจหอบ ลูกหนีไปอยู่กับ แม่ที่บ้าน สรวงสินีลืมเรื่องที่ผ่านมาเพราะมัวแต่เห่อหลานชาย อาร์มไปง้อขอคืนดีแต่ถูกแม่ของมุกกีดกัน เขาจึงกลับไป อยู่ในเรือนไม้สีเบจอย่างเศร้าหมอง จนเกือบตรอมใจตาย เขาพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้มุกกับลูกเห็นใจ จนในที่สุดมุกก็ใจอ่อน ยอมพาลูกกลับมาอยู่ ที่เรือนไม้สีเบจอีกครั้ง อาร์มเริ่มมีอาการดีขึ้นจนเกือบจะเป็นปกติ กิจการเย็บกระเป๋าส่งออกนอกก็ดูจะไปได้สวย เขาขยันขันแข็งสมกับเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี สุดท้ายบั้นปลายชีวิตของเขาและเธอก็จบลงอย่างมีความสุข โดยมีลูกน้อยเป็นพยานรักระหว่างเขาและเธอใน เรือนไม้สีเบจ


กำกับการแสดง สุประวัติ ปัทมสูต บทประพันธ์ ว.วินิจฉัยกุล บทโทรทัศน์ เอกลิขิต นำแสดงโดย 1. แอนดริว เกร้กสัน รับบท อาร์ม 2. เข็มอัปสร สิริสุขะ รับบท มุก 3. ณัฐนันท์ รับบท จุลศก 4. สโรชา วาทิตตพันธ์ รับบท ขจีรัตน์ 5. เพ็ญพักตร์ ศิริกุล รับบท สรวงสินี 6. ภัสสร บุญยเกียรติ รับบท ชัญญา 7. จุลี โอศิริ รับบท นายแม่ ออกอากาศ ทุกวันพุธ พฤหัสบดี เวลา 20.20 น.ช่อง 3 ปี พ.ศ.2547
ที่มา http://movie.sanook.com/21339/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%88/

วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

พระราชประว้ติสมเด็จย่า


http://www.youtube.com/watch?v=WRD1M6rkkWc&feature=related



http://www.youtube.com/watch?v=VbJY4nRWNls



http://www.youtube.com/watch?v=4qNNNYXMzG4&feature=relmfu

ประวัติศาสตร์ไทย ฉบับย่อ

ในการศึกษาประวัติศาสตร์ไทย นักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่เริ่มนับตั้งแต่สมัยอาณาจักรสุโขทัยเป็นต้นมา หากแต่ในอาณาเขตประเทศไทย พบหลักฐานของมนุษย์ซึ่งมีอายุเก่าแก่ที่สุดถึงห้าแสนปี ทั้งยังมีหลักฐานของอารยธรรมและรัฐโบราณในอาณาเขตดังกล่าวเป็นจำนวนมาก

อาณาจักรสุโขทัยซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 1781 ขยายดินแดนออกไปอย่างกว้างขวางในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช นอกจากนี้ ในรัชสมัยของพระองค์ยังมี แต่เสถียรภาพของอาณาจักรได้อ่อนแอลงภายหลังการสวรรคตของพระองค์ อาณาจักรอยุธยาก่อตั้งขึ้นใน พ.ศ. 1893 มีความยิ่งใหญ่กว่าอาณาจักรสุโขทัยเดิม เนื่องจากมีการติดต่อกับชาติตะวันตก ก่อนจะล่มสลายลงอย่างสิ้นเชิงใน พ.ศ. 2310 พระยาตากได้รวบรวมไพร่พลกอบกู้เอกราช และย้ายราชธานีมาอยู่ที่กรุงธนบุรี ต่อมา พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นเมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325

การลงนามในสนธิสัญญาเบาว์ริง ทำให้ชาติตะวันตกหลายชาติเข้ามาทำสนธิสัญญาอันไม่เป็นธรรมอีกหลายฉบับ ต่อมา แม้จะมีการเสียดินแดนหลายครั้งให้แก่ฝรั่งเศสและอังกฤษ แต่อาณาจักรสยามก็ไม่ตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก กุศโลบายของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทำให้ไทยเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง โดยอยู่ฝ่ายเดียวกับฝ่ายพันธมิตร ทำให้สยามได้รับการยอมรับจากนานาประเทศ อันนำมาซึ่งการแก้ไขสนธิสัญญาอันไม่เป็นธรรมทั้งหลาย

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ได้มีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองมาเป็นประชาธิปไตย ทำให้คณะราษฎรเข้ามามีบทบาทในทางการเมือง ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศไทยได้ลงนามเป็นพันธมิตรทางทหารกับญี่ปุ่น ในช่วงสงครามเย็น ประเทศไทยได้ดำเนินนโยบายเป็นพันธมิตรกับสหรัฐอเมริกา โดยมีนโยบายต่อต้านการขยายตัวของคอมมิวนิสต์ในภูมิภาค

หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ประเทศไทยยังถือได้ว่าอยู่ในระบอบเผด็จการในทางปฏิบัติอยู่หลายทศวรรษ ประเทศไทยประสบกับความไร้เสถียรภาพทางการเมือง และได้มีการสืบทอดอำนาจของรัฐบาลทหารผ่านการก่อรัฐประหารหลายสิบครั้ง อย่างไรก็ดี หลังจากนั้นได้มีเหตุการณ์เรียกร้องประชาธิปไตยครั้งสำคัญในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ประชาธิปไตยในประเทศเริ่มมีความมั่นคงยิ่งขึ้น ปัจจุบัน ประเทศไทยกำลังเกิดวิกฤตการณ์การเมือง ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ พ.ศ. 2548

ซึ่งประเทศไทย หรือชื่อทางการว่า ราชอาณาจักรไทย เป็นรัฐชาติอันตั้งอยู่บนคาบสมุทรอินโดจีน ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีพรมแดนด้านตะวันออกติดประเทศลาวและประเทศกัมพูชา ทิศใต้เป็นแดนต่อแดนประเทศมาเลเซียและอ่าวไทย ทิศตะวันตกติดทะเลอันดามันและประเทศพม่า และทิศเหนือติดประเทศพม่าและลาว มีแม่น้ำโขงกั้นเป็นบางช่วง ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยแบบมีรัฐสภา มีศูนย์กลางการบริหารราชการแผ่นดินอยู่ที่กรุงเทพมหานคร และการปกครองส่วนภูมิภาค จัดระเบียบเป็น 77 จังหวัด แต่เดิมประเทศไทยใช้คำว่าสยามเรียกประเทศ ซึ่งเป็นคำที่ชาวต่างประเทศใช้เรียกอาณาจักรอยุธยา เมื่อราว พ.ศ. 2000 มานับตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นมา โดยปรากฏใช้เป็นชื่อประเทศชัดเจนใน พ.ศ. 2399 แต่ทว่าคนไทยไม่เคยเรียกตนเองว่า "สยาม" หรือ "ชาวสยาม" อย่างชาวต่างชาติหรือตามชื่อประเทศอย่างเป็นทางการในสมัยนั้นเลย ส่วนคำว่า "คนไทย" นั้น จดหมายเหตุลาลูแบร์ได้บันทึกไว้อย่างชัดเจนว่า ชาวอยุธยาได้เรียกตนเองเช่นนั้นมานานแล้ว

ตราแผ่นดิน

ต่อมา เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2482 ตามประกาศรัฐนิยม ฉบับที่ 1 ในสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม (ซึ่งประกาศใช้เมื่อ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2482) ได้เปลี่ยนชื่อประเทศ พร้อมกับเรียกประชาชน และสัญชาติจาก "สยาม" มาเป็น "ไทย" ซึ่งจอมพล ป. มีเจตนาต้องการบ่งบอกว่าดินแดนนี้เป็นของชาวไทย มิใช่ของเชื้อชาติอื่น ตามลัทธิชาตินิยมในเวลานั้น โดยในช่วงต่อมาได้เปลี่ยนกลับเป็นสยามเมื่อปี พ.ศ. 2488 แต่ก็ได้เปลี่ยนกลับมาชื่อไทยอีกครั้งเมื่อปี พ.ศ. 2491 ซึ่งเป็นช่วงที่จอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี การเปลี่ยนชื่อในครั้งนี้ยังเปลี่ยนจาก "Siam" ในภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส เป็น "Thaïlande" ในภาษาฝรั่งเศส และ "Thailand" ในภาษาอังกฤษอย่างในปัจจุบัน[18] อย่างไรก็ตาม ชื่อ สยาม ยังคงเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายทั้งในและต่างประเทศ ชื่อประเทศไทยในภาษาอังกฤษมักถูกจำสับสนกับไต้หวันอยู่บ่อย ๆ


ประเทศไทยมีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 50 ของโลก มีเนื้อที่ 513,115 ตารางกิโลเมตร และมีประชากรมากเป็นอันดับที่ 20 ของโลก คือ ประมาณ 60กว่าล้านคน กับทั้งยังเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ โดยมีรายได้หลักจากภาคอุตสาหกรรมและการบริการ[13] ไทยมีแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงเป็นอันมาก อาทิ พัทยา, ภูเก็ต, กรุงเทพมหานคร และเชียงใหม่ ซึ่งสร้างรายได้ให้แก่ประเทศ เช่นเดียวกับการส่งออกอันมีส่วนสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ และด้วยจีดีพีของประเทศ ซึ่งมีมูลค่าราว 334,026 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ตามที่ประมาณใน พ.ศ. 2553 เศรษฐกิจของประเทศไทยนับว่าใหญ่เป็นอันดับที่ 30 ของโลก

ในอาณาเขตประเทศไทย พบหลักฐานของมนุษย์ซึ่งมีอายุเก่าแก่ที่สุดถึงห้าแสนปี นักประวัติศาสตร์มักถือว่าอาณาจักรสุโขทัยเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งต่อมาตกอยู่ในอิทธิพลของอาณาจักรอยุธยา อันมีความยิ่งใหญ่กว่า และมีการติดต่อกับชาติตะวันตก แต่ก็ร่วงโรยลงช่วงหนึ่ง อันเนื่องมาจากการขยายอำนาจของพม่านับแต่ พ.ศ. 2054 ก่อนจะกลับมารุ่งโรจน์อีกครั้ง ก่อนเสื่อมอำนาจและล่มสลายไปโดยสิ้นเชิง เมื่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงสถาปนาอาณาจักรธนบุรี เหตุการณ์ความวุ่นวายในช่วงปลายอาณาจักร ได้นำไปสู่ยุคสมัยของราชวงศ์จักรีแห่งกรุงรัตนโกสินทร์

ช่วงต้นกรุง ประเทศเผชิญภัยคุกคามจากชาติใกล้เคียง แต่หลังรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นมา ชาติตะวันตกเริ่มมีอิทธิพลในภูมิภาคเป็นอย่างมาก นำไปสู่การเข้าเป็นภาคีแห่งสนธิสัญญาหลายฉบับ และการเสียดินแดนบางส่วน กระนั้น ไทยก็ยังธำรงตนมิได้เป็นอาณานิคมของชาติใด ๆ ต่อมาจนช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ไทยได้เข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร และในปี พ.ศ. 2475 ได้มีการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นประชาธิปไตย และไทยได้เข้ากับฝ่ายอักษะในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง จนช่วงสงครามเย็น ไทยได้ดำเนินนโยบายเป็นพันธมิตรกับสหรัฐอเมริกา ทหารเข้ามามีบทบาทในการเมืองไทยอย่างมากหลังปฏิวัติสยามอยู่หลายสิบปี กระทั่งมีการตั้งรัฐบาลพลเรือน และเข้าสู่ยุคโลกเสรีในปัจจุบัน

ประเทศไทยมีพื้นที่ประมาณ 513,115 ตารางกิโลเมตร มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 50 ของโลกและเป็นอันดับที่ 3 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากประเทศอินโดนีเซีย (1,910,931 กม.2) และประเทศพม่า (676,578 กม.2) และมีขนาดใกล้เคียงกับประเทศสเปน (505,370 กม.2) มากที่สุด

ประเทศไทยมี]ลักษณะภูมิประเทศที่หลากหลาย ภาคเหนือเป็นพื้นที่ภูเขาสูงสลับซับซ้อน จุดที่สูงที่สุดในประเทศไทย คือ ดอยอินทนนท์ ณ 2,565 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล รวมทั้งยังปกคลุมด้วยป่าไม้อันเป็นต้นน้ำที่สำคัญของประเทศ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ของที่ราบสูงโคราช สภาพของดินค่อนข้างแห้งแล้งและไม่ค่อยเอื้อต่อการเพาะปลูก แม่น้ำเจ้าพระยาเกิดจากแม่น้ำปิงและยมที่ไหลมาบรรจบกันที่ปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์ ทำให้ภาคกลางกลายเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำที่มีความอุดมสมบูรณ์ที่สุดในประเทศ และถือได้ว่าเป็นแหล่งปลูกข้าวที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก ภาคใต้เป็นส่วนหนึ่งของคาบสมุทรไทย-มาเลย์ ขนาบด้วยทะเลทั้งสองด้าน มีจุดที่แคบลง ณ คอคอดกระ แล้วขยายใหญ่เป็นคาบสมุทรมลายู ส่วนภาคตะวันตกเป็นหุบเขาและแนวเทือกเขาซึ่งพาดตัวมาจากทางตะวันตกของภาคเหนือ

แม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำโขงถือเป็นแหล่งเกษตรกรรมที่สำคัญของประเทศไทย การผลิตของภาคอุตสาหกรรมการเกษตรจะต้องอาศัยผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้จากแม่น้ำทั้งสองและสาขาทั้งหลาย อ่าวไทยมีพื้นที่ประมาณ 320,000 ตารางกิโลเมตร รองรับน้ำซึ่งไหลมาจากแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำแม่กลอง แม่น้ำบางปะกง และแม่น้ำตาปี ถือเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยว เนื่องจากน้ำตื้นใสตามแนวชายฝั่งของภาคใต้และคอคอดกระ นอกจากนี้ อ่าวไทยยังเป็นศูนย์กลางทางอุตสาหกรรมของประเทศ เพราะมีท่าเรือหลักที่สัตหีบ ถือได้ว่าเป็นประตูที่จะนำไปสู่ท่าเรืออื่น ๆ ในกรุงเทพมหานคร ภาคใต้มีสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวมาก นักท่องเที่ยวมักเดินทางมาเยือนเสมอ ตั้งแต่จังหวัดภูเก็ต จังหวัดกระบี่ จังหวัดระนอง จังหวัดพังงา จังหวัดตรัง และหมู่เกาะตามแนวชายฝั่งของทะเลอันดามัน

ภูมิอากาศของไทยเป็นแบบเขตร้อน หรือแบบสะวันนา มีอุณหภูมิเฉลี่ย 18-34 °C และมีปริมาณฝนตกเฉลี่ยตลอดปีกว่า 1,500 มิลลิเมตร สามารถแบ่งได้เป็น 3 ฤดูกาล: อากาศร้อนระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายนเป็นฤดูร้อน; ระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคม ประเทศได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้จากทะเลจีนใต้และพายุหมุนเขตร้อนเป็นฤดูฝน; ส่วนในเดือนพฤศจิกายนถึงกลางเดือนมีนาคม ประเทศได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือจากประเทศจีนเป็นฤดูหนาว ส่วนภาคใต้มีสภาพอากาศแบบป่าดงดิบ ซึ่งมีอากาศร้อนชื้นตลอดทั้งปี จึงสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ฤดู คือ ฤดูฝนและร้อน โดยฝั่งทะเลตะวันออก ฤดูร้อนเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงเดือนกันยายน และฝั่งทะเลตะวันตก ฤดูร้อนเริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงเดือนเมษายน

ประเทศไทยมีความหลากหลายทางชีวภาพของทั้งพืชและสัตว์อยู่มาก อันเป็นรากฐานอันมั่นคงของการผลิตในภาคการเกษตร และประเทศไทยมีผลไม้เมืองร้อนหลากชนิด พื้นที่ราว 29% ของประเทศไทยเป็นป่าไม้ รวมไปถึงพื้นที่ปลูกยางพาราและกิจกรรมปลูกป่าบางแห่ง ประเทศไทยมีเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ากว่า 50 แห่ง เขตห้ามล่าสัตว์ป่าอีก 56 แห่ง โดยพื้นที่ 12% ของประเทศเป็นอุทยานแห่งชาติ (ปัจจุบันมี 110 แห่ง) และอีกเกือบ 20% เป็นเขตป่าสงวน ประเทศไทยมีพืช 15,000 สปีชีส์ คิดเป็น 8% ของสปีชีส์พืชทั้งหมดบนโลก ในประเทศไทย พบนก 982 ชนิด นอกจากนี้ ยังเป็นถิ่นที่อยู่ของสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก นก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม และสัตว์เลื้อยคลานกว่า 1,715 สปีชีส์ซึ่งมีการบันทึก

วันพุธที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

รหัสมรณะ


เนื้อเรื่อง

ในปี ค.ศ. 1942 อะเล็กซ์ วูล์ฟ จารชนลูกครึ่งอาหรับ-ยุโรปของนาซีแฝงตัวเข้ามาจารกรรมข้อมูลของฝ่ายสัมพันธมิตรในกรุงไคโร ในยุทธการแนวรบแอฟริกาเหนือ โดยผ่านความช่วยเหลือจาก ซันย่า นางระบำหน้าท้องที่ลือชื่อที่สุดของอียิปต์ซึ่งเป็นชู้รักเก่า
พันตรีแซนดี้ สมิธ นายทหารอังกฤษถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยม ที่สำคัญ ข้อมูลการตอบโต้เออร์วิน รอมเมล แม่ทัพกองทัพรถถังอันเกรียงไกรของนาซี ก็หายไปด้วย นั่นทำให้ พันตรีวิลเลี่ยม แวนดัม นายทหารหัวหน้ารักษาความปลอดภัยของอังกฤษต้องตามล่าหาจารชนรายนี้ โดยมี อีลิน ฟอนตาน่า หญิงสาวที่แวนดัมหลงรักเป็นนางนกต่อ ซึ่งในเรื่องนี้มี อันวาร์ ซาดัต อดีตประธานาธิบดีของอียิปต์เข้าร่วมผสมโรงด้วย

ตัวละคร

ตัวละครแต่ง
อะเล็กซ์ วูล์ฟ จารชนลูกครึ่งอาหรับ-ยุโรป มีชื่อเป็นภาษาอาหรับว่า อะหะหมัด เป็นผู้ที่นิยมนาซีเป็นอย่างมาก รูปร่างสูงใหญ่ ไว้หนวดที่ไม่เข้ากับหน้า เป็นบุคคลที่มีเสน่ห์ และเลือดเย็น ใช้วิธีสังหารศัตรูด้วยมีดพก
วิลเลี่ยม แวนดัม นายพันตรีของกองทัพบกอังกฤษ มีหน้าที่เป็นหัวหน้าฝ่ายรักษาความปลอดภัยบุคคล เป็นม่ายภรรยาได้เสียชีวิตไปก่อนหน้านั้น มีลูกชายวัย 10 ขวบเป็นลูกติด มุ่งมั่นที่จะจับตัวอะเล็กซ์ วูล์ฟ ให้ได้
อีลิน ฟอนตาน่า หญิงสาวเชื้อสายยิว อายุ 23 เป็นคนสวย อยู่ตัวคนเดียวจึงทำงานทุกอย่างเพื่อเอาตัวรอด พยายามปกปิดมิให้ใครรู้ว่าเป็นยิว ภายหลังเป็นนางนกต่อให้แก่วิลเลี่ยมเพื่อจับตัวอะเล็กซ์ วูล์ฟ
ซันย่า อัล-อราม นางระบำหน้าท้องทรงเสน่ห์และยั่วยวนทางเพศ ที่ลือชื่อที่สุดของอียิปต์ เป็นชู้รักเก่าของอะเล็กซ์ วูล์ฟ ยอมช่วยเหลือวูล์ฟ เพียงเพื่อเกลียดชาวอังกฤษที่กดขี่อียิปต์
บิลลี่ แวนดัม เด็กชายวัย 10 ขวบ ลูกติดของวิลเลี่ยม แวนดัมท เป็นเด็กที่เป็นผู้ใหญ่เกินวัย ฉลาด มีระเบียบ ชอบอ่านหนังสือ
พันตรี แซนดี้ สมิธ นายทหารอังกฤษผู้ถือกระเป๋าเอกสารข้อมูลการตั้งรับการบุกของเออร์วิน รอมเมล ถูกซันย่าล่อหลอกจนตกเป็นทาสกาม ถูกอะเล็กซ์ วูลฟ์ สังหารอย่างโหดเหี้ยม
อับดุลเลาะห์ ชาวอียิปต์ผู้กว้างขวางในไคโร รูปร่างอ้วน มีศักดิ์เป็นญาติห่าง ๆ ของวูล์ฟ ให้การช่วยเหลือวูล์ฟ เพราะเป็นโจรและอาชญากร แต่วูล์ฟก็ไม่เคยไว้ใจจนเกินไป
เคมัล นายตำรวจชาวอียิปต์ ที่แวนดัมขอให้ช่วยดูพฤติกรรมของวูล์ฟและซันย่า แต่กลับเป็นฝ่ายช่วยเหลือวูล์ฟและซันย่า เพราะต้องการให้อียิปต์เป็นอิสระเหนืออังกฤษ
เจคส์ นายทหารลูกน้องของแวนดัม นิสัยซื่อสัตย์ขยันขันแข็งเอาการเอางาน เป็นคนที่แวนดัมใช้งานและวางใจได้เสมอ
เร็กจี้ บ็อกส์ นายพันโทของกองทัพบกอังกฤษ เป็นหัวหน้าของแวนดัม ไม่ชอบหน้าแวนดัมและแวนดัมเองก็ไม่ชอบหน้าเช่นกัน ชอบขัดขวางและไม่เห็นด้วยกับการกระทำของแวนดัม
ตัวละครที่มีจริง
จอมพลเออร์วิน รอมเมล แม่ทัพใหญ่ของนาซี ในยุทธการที่แอฟริกาเหนือ ชาญฉลาด สุขุม รอบคอบ เชื่อมั่นในตัวอะเล็กซ์ วูล์ฟ
อันวาร์ อัล-ซาดัต เป็นนายทหารยศร้อยเอกหนุ่มอายุ 22 มีอุดมการณ์ที่จะให้ชาติอาหรับเหนือกว่าชาติตะวันตก จึงรวมวงก่อกวนอังกฤษด้วย
จอมพลอัลเบิร์ต เคสเซลริ่ง จอมพลกองทัพอากาศนาซี ไม่ถูกกับรอมเมล และมักดูหมิ่นรอมเมลเพราะถือว่าตัวยศเหนือกว่า
ฟอน เมลเลนธิน นายพันตรีของนาซี นายทหารผู้ช่วยของรอมเมล

เบื้องหลังและภาพยนตร์

The Key to Rebecca เป็นนวนิยายเรื่องที่ 3 ของเคน ฟอลเลธ และถือเป็นนวนิยายภาคต่อของ Eye of the Needle ซึ่งเป็นนวนิยายสายลับอีกเรื่องหนึ่งก่อนหน้านั้น
The Key to Bebecca ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1980 ที่ประเทศอังกฤษ สำหรับในประเทศไทยตีพิมพ์ครั้งแรกในเดือนพฤษภาคม ปีถัดมา โดย สำนักพิมพ์แอ็ดวานซ์มีเดีย แปลเป็นภาษาไทยโดย จำเนียร เหมะรัต [1]
นวนิยายเรื่องนี้ได้ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์สำหรับฉายทางโทรทัศน์ในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี ค.ศ. 1985 โดยมี คลิฟฟ์ โรเบิร์ตสัน รับบทเป็น พันตรีวิลเลี่ยม แวนดัม และเดวิด โซล รับบทเป็น อะเล็กซ์ วูล์ฟ



ที่มา       :http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%B0
         รหัสมรณะ / THE KEY TO REBECCA
         ข้อมูลภาพยนตร์ในIMDb

108 ผู้กล้าหาญแห่งเขาเหลียงซาน

108 ผู้กล้าหาญแห่งเขาเหลียงซาน

          108 ผู้กล้าหาญแห่งเขาเหลียงซาน (อังกฤษ: Water Margin, Outlaws of the Marsh, All Men Are Brothers, Men of the Marshes หรือ the Marshes of Mount Liang; จีน: ซ้องกั๋ง 宋江 หรือ สุยหู่จ้วน 水浒传) เป็นหนึ่งในสี่สุดยอดวรรณกรรมจีนร่วมกับ สามก๊ก ไซอิ๋ว และความฝันในหอแดง เป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์ที่จับความมาจากเหตุการณ์ช่วงปลายราชวงศ์เป่ยซ่ง ราว ค.ศ. 900 ว่าด้วยเรื่องของกบฏชาวนา หรือผู้กล้า 108 คนที่รวมตัวกันปกป้องบ้านเมือง แต่เดิมเป็นเรื่องเล่าปากต่อปาก ต่อมาศิลปินพื้นบ้านนำเรื่องเล่านี้มาผูกเป็นเพลงงิ้ว เรื่องสุยหู่จ้วนมีการประพันธ์ขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรกโดย ซือไน่อัน และต่อมาได้รับการขัดเกลาจาก หลอกว้านจง ผู้ประพันธ์นวนิยายสามก๊ก บางแห่งว่าซือไน่อันเป็นอาจารย์ของหลอกว้านจง แต่บางแห่งก็ว่าเป็นคนเดียวกัน ชื่อเรื่อง สุยหู่จ้วน ในภาษาจีนมีความหมายว่า "ลำนำริมฝั่งน้ำ" หมายถึงสถานที่ซึ่งเป็นแหล่งรวมตัวหรือฐานทัพของผู้กล้าทั้งร้อยแปดคน คือริมทะเลสาบเหลียงซานป๋อ

          เรื่อง สุยหู่จ้วน มีการแปลเป็นไทยแล้วหลายสำนวน และเรียกชื่อไปต่างๆ กัน เช่น ซ้องกั๋ง หรือ ผู้กล้าหาญแห่งเขาเหลียงซาน สำนวนแปลล่าสุดเป็นของ รัถยา สารธรรม พิมพ์โดยสำนักพิมพ์สุขภาพใจ เมื่อปี พ.ศ. 2546 ใช้ชื่อเรื่องว่า 108 ผู้กล้าเหลียงซัน

โครงเรื่อง
          เหตุการณ์ในเรื่องเกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์ซ่งในช่วงรัชสมัยของจักรพรรดิซ่งฮุ่ยจง ช่วงนี้ฮ่องเต้อ่อนแอ และขุนนางกังฉินที่มีอิทธิพลมากจนถึงขั้นฮ่องเต้ต้องเกรงใจนั้น ชื่อ เกาฉิว

         ตัวละครทั้ง 108 คนนั้นมีประวัติความเป็นมาแทบจะเหมือนกันหมด คือ ถูกขุนนางกลั่นแกล้ง กดขี่ข่มเหง เป็นต้น ทำให้แต่ละคนลี้ภัยออกจากเมืองของตัวเอง แล้วมารวมตัวกัน ณ เขาเหลียงซาน เพื่อปราบปรามขุนนางชั่ว อันที่จริงแล้ว เหล่าผู้กล้าทั้ง 108 นี้คือเทพยดาจุติลงมาเกิดเพื่อปราบยุคเข็ญ เมื่อพวกเขาได้มาพบกัน ก็สาบานตัวเป็นพี่น้องกัน

         ผู้นำคนสำคัญของผู้กล้าเขาเหลียงซาน คือ ซ่งเจียง หรือซ้องกั๋ง ซ่งเจียงนั้นได้รับความยกย่องจากชาวยุทธทั่วหล้าว่า เป็น "ฝนทันใจ" เนื่องจากเป็นคนที่มีจิตใจโอบอ้อมอารี และส่งเสริมและให้ความช่วยเหลือชาวยุทธมาตลอดจนได้แต่งตั้งให้เป็นหัวหน้า

         เรื่องราวตอนต้น ๆ จะกล่าวถึงที่มาของตัวละครบางตัวที่สำคัญว่า เหตุใดถึงได้เข้ามารวมกลุ่มเขาเหลียงซานได้ เช่น พระหลู่จื้อเซิน ซือจิ้น หวังจิ้น หลี่ขุย ซ่งเจียง เป็นต้น ส่วนกลางเรื่องจนถึงท้ายเรื่องนั้น จะเกี่ยวข้องกับ การที่เหล่าผู้กล้าแห่งเขาเหลียงซานต้องออกไปปราบปรามกบฏกลุ่มต่าง ๆ ทั่วแผ่นดิน ตามราชโองการของฮ่องเต้ (ซึ่งจริง ๆ แล้วเป็นแผนหลอกใช้ของเกาฉิวอีกที) การไปปราบกบฏกลุ่มต่าง ๆ นั้น แสดงถึงการรบโดยขาดการวางแผนอย่างดี จนทำให้สูญเสียผู้กล้าไปมากมายอย่างน่าเสียดาย เพราะผู้กล้าหลายคนเสียชีวิตจากกับดักต่าง ๆ เป็นอันมาก และเป็นการรบที่รบเสียจนแทบไม่ได้หยุดหย่อน ผู้กล้าบางคนทนไม่ไหวแยกตัวออกไปจากกลุ่ม ในท้ายที่สุด ซ่งเจียงก็ปราบกบฏทั่วแผ่นดินได้หมด ฮ่องเต้จึงได้พระราชทานเหล้าให้แก่ซ่งเจียง แต่เกาฉิวได้แอบใส่ยาพิษไปในเหล้าด้วย ทำให้ซ่งเจียงเสียชีวิต จึงทำให้ไม่สามารถรวมตัวผู้กล้าที่รอดชีวิตจากศึกครั้งนี้ได้อีก และเหล่าผู้กล้าที่เหลือก็ถูกเกาฉิวสังหารไปทีละคนจนหมด
นวนิยายเรื่องรักประกาศิต
   
     นริศราหรือนิด (แอฟ ทักษอร) กำลังเรียนปีสุดท้ายอยู่ที่อเมริกา แต่กลับถูกเรียกตัวกลับมาเพราะการเสียชีวิตของ พล.อ.ณัฐ สุริยรักษ์ ผู้เป็นบิดา ในพินัยกรรมเขียนไว้ว่าให้พันเอกณรงค์ พี่ชายของเธอเป็นผู้จัดการมรดก แต่ณรงค์ได้รับทุนไปเรียนต่อที่สวีเดน จึงมอบหมายให้ลัคนา พี่สะใภ้เป็นผู้ดูแลเรื่องการเรียนของนริศรา แต่ลัคนาไม่อยากแบกรับภาระ จึงไม่ยอมให้เงินเธอไปเรียนต่อ ทำให้นริศราต้องออกหางานทำ

     วิทวัส (ลิฟท์ สุพจน์) น้องชายของภูชิชย์ (ป๋อ ณัฐวุฒิ)  เป็นคนดูแลเรื่องงานที่กรุงเทพฯและเป็นคนรับนริศรา(แอฟ ทักษอร)เข้าทำงาน ก่อนจะส่งไปให้พี่ชายที่ลำพูนเพื่อดูแลไร่กาแฟและองุ่น เนื่องจากสุพัฒนาหรือคุณเล็ก (แพท ณปภา) น้องสาวคนเล็กที่ป่วยเป็นโรคสำออย เอาแต่ใจตนเอง ถูกส่งมารักษาตัวที่กรุงเทพฯ ภูชิชย์ต้องการเอาคนมาทำงานแทน คุณเล็กจะให้ มอลลี่หรือมัลลิกาไปทำหน้าที่แทน และจะดันให้เป็นแฟนภูชิชย์ แต่วิทวัสไม่เห็นด้วย จึงส่งนริศราไปแทน และให้มอลลี่มาเป็นเลขาของตนแทน

นริศรา(แอฟ ทักษอร)ไปทำงานที่ไร่สุพัฒนาเธอได้รับความช่วยเหลือจากนิพนธ์ (หมอก้อง สรวิชญ์) ผู้จัดการไร่คนเก่า แต่เธอก็มีปัญหากับภูชิชย์ (ป๋อ ณัฐวุฒิ) เพราะก่อนหน้านี้เคยเจอและมีเรื่องกันมาก่อน ภูชิชย์ไม่รับเธอเข้าทำงาน โทรไปโวยวายกับวิทวัส (ลิฟท์ สุพจน์) ซึ่งนริศราเองก็ไม่อยากทำงานนี้เหมือนกัน แต่ต้องการเงินทุนไว้เรียนต่อจึงต้องจำใจทำงานกับภูชิชย์ต่อไป ภูชิชย์หมั่นไส้นริศราคิดว่าจะมาจับวิทวัส จึงแกล้งยกตำแหน่งผู้จัดการไร่ให้เธอทำ หญิงสาวถึงกับเหวอเพราะเธอไม่รู้เรื่องการเกษตรมาก่อน แต่ก็ได้นิพนธ์และคนงานบางกลุ่มคอยช่วยเหลือ

     เจ้าน้อยหรือเจ้าทิพย์ดารา (เจี๊ยบ พิจิตตรา) ลูกสาวคนเดียวของเจ้าเทพมงคลและเจ้าดาระกา แฟนเก่าภูชิชย์ (ป๋อ ณัฐวุฒิ) ที่เลิกกันเพราะถูกคุณเล็ก(แพท ณปภา)บังคับ กลับมาขอคบกับภูชิชย์อีกครั้ง คุณเล็กรู้เรื่องจากบัวเกี๋ยง (นุ่น รมิดา) สาวใช้คนสนิทเป่าหูว่านริศรา(แอฟ ทักษอร)จะมาจับทั้งภูชิชย์และวิทวัส (ลิฟท์ สุพจน์) ให้คุณเล็กหาเหตุไล่นริศราออกไปจากไร่

     นริศรา(แอฟ ทักษอร) ถูกคุณเล็ก(แพท ณปภา) และบัวเกี๋ยง(นุ่น รมิดา)กลั่นแกล้งสารพัด ถูกภูชิชย์ (ป๋อ ณัฐวุฒิ) คอยหาเรื่องทะเลาะและคอยจับผิดอยู่บ่อยๆ คุณเล็กให้บัวเกี๋ยงกับผล (ใหญ่ ศิระ) สามีลับๆของบัวเกี๋ยงยุยงคนงานไม่ให้ยอมรับนริศรา แต่หญิงสาวก็ฟันฝ่าอุปสรรคมาได้ ภูชิชย์มักเอาเรื่องนริศราไปบ่นให้เจ้าน้อย (เจี๊ยบ พิจิตตรา) ฟังบ่อยๆจนเจ้าน้อยเองอยากรู้จักนริศรา และเมื่อได้เจอตัวจริงเธอรู้สึกถูกชะตานริศรามาก ถึงกับเชิญไปร่วมงานเลี้ยงต้อนรับการกลับมาของเธอที่บ้าน ภูชิชย์จำใจพานริศราและนิพนธ์ (หมอก้อง สรวิชญ์) ไปร่วมงาน แต่พอเข้าไปในบ้านเจ้าเทพมงคลและเจ้าดาระกา พ่อแม่ของเจ้าน้อยก็ไม่พอใจเพราะยังเคืองที่ภูชิชย์เคยยกเลิกงานหมั้นของเขากับลูกสาวเหตุเพราะถูกคุณเล็กบังคับ นริศราคอยปลอบใจเจ้าน้อย จนทำให้ทั้งสองสนิทสนมกันมากขึ้น

     เสร็จจากอาหารค่ำ เจ้าน้อย (เจี๊ยบ พิจิตตรา) พาทุกคนมาเพ้นต์เสื้อของเธอ นริศรา(แอฟ ทักษอร)เห็นหนังสือที่เธอแย่งกับภูชิชย์ (ป๋อ ณัฐวุฒิ) อยู่ที่ห้องนั้นด้วย จึงแกล้งเหน็บภูชิชย์ให้เจ็บใจเล่น ภูชิชย์ดูถูกฝีมือนริศรา เธอจึงนั่งลงเพ้นต์เสื้อให้ดูว่าเธอก็มีฝีมือ จนเจ้าน้อยและนิพนธ์ (หมอก้อง สรวิชญ์) ทึ่ง ภูชิชย์เองก็อึ้งไปเหมือนกัน บัวเกี๋ยง (นุ่น รมิดา)เห็นภูชิชย์พานริศราออกไปข้างนอกก็ไปฟ้องคุณเล็ก (แพท ณปภา)แถมใส่ไฟลงไปอีก คุณเล็กโกรธมากถึงหนีออกจากโรงพยาบาลโทรจิกพี่ชายให้ไปรับที่สนามบิน พอเจอหน้านริศราก็ออกปากไล่เธอทันที แต่นริศราไม่ยอมไปเพราะเธอไม่ได้ทำผิดอะไร คุณเล็กกับบัวเกี๋ยงเจ็บใจมากวางแผนกำจัดนริศราต่อไป

     มอลลี่อยากจับวิทวัส (ลิพท์ สุพจน์ ) เป็นแฟน เธอตามจิกเขาตลอดเวลา จนเกือบจะจับได้ว่าวิทวัสแอบมีลูกเมียอยู่ก่อนแล้วคือ รัชนิดา (โซบี โชติรส) เลขาคนเก่าที่ถูกคุณเล็กไล่ออกจากงานเพราะเป็นแฟนพี่ชาย จนมีลูกหนู ลูกสาววัยน่ารักอีกคน วิทวัสไม่กล้าบอกพี่และน้องเพราะกลัวถูกขัดขวางเหมือนภูชิชย์ (ป๋อ ณัฐวุฒิ) กับเจ้าน้อย (เจี๊ยบ พิจิตตรา) จึงปิดบังเรื่องครอบครัวมาตลอด แต่ในที่สุดมอลลี่ก็แอบรู้จนได้ เธอคิดว่าตัวเองเป็นถึงลูกทูต ไม่ควรมาแย่งสามีคนอื่น จึงตัดสินใจลาออกจากการเป็นเลขาของวิทวัสและกลับไปอยู่ฝรั่งเศสเหมือนเดิม

     บ่อยครั้งที่คุณเล็ก (แพท ณปภา) หาเรื่องกลั่นแกล้งนริศรา(แอฟ ทักษอร) ทำให้ภูชิชย์(ป๋อ ณัฐวุฒิ) เริ่มเห็นความอดทนและความแข็งแกร่งของเธอ ทำให้ภูชิชย์เริ่มสับสนในความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อหญิงสาว โดยเฉพาะเวลาที่อยู่ใกล้กัน แม้ปากจะแข็งคอยเหน็บกัดเธอตลอด แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็มีความสุขที่ได้อยู่ใกล้เธอ ยิ่งพอรู้ว่าพิสุทธิ์ลูกชายเจ้าของโรงแรมที่เชียงใหม่แวะเวียนมาหานริศราบ่อยๆ เขาก็ยิ่งต้องคอยขัดขวาง เป็นก้างขวางคออยู่ตลอดเวลา การแสดงออกของภูชิชย์ที่มีต่อนริศรา ทำให้เจ้าน้อย (เจี๊ยบ พิจิตตรา) จับสัญญาณได้ว่าเขาเปลี่ยนไป แต่ภูชิชย์ก็ยังยืนยันว่ารักเจ้าน้อยเหมือนเดิม

     บัวเกี๋ยง (นุ่น รมิดา) เริ่มรำคาญผล (ใหญ่ ศิระ) ที่สงสัยว่าเธอจะกำจัดนริศรา (แอฟ ทักษอร) และยังไม่ชอบหน้าเจ้าน้อย (เจี๊ยบ พิจิตตรา) เพราะคิดจะจับภูชิชย์ (ป๋อ ณัฐวุฒิ)เสียเอง บัวเกี๋ยงกลัวความแตกจึงต้องยอมๆผลไปก่อน หากวันใดที่เธอได้เป็นใหญ่ขึ้นมาจะกำจัดผลเป็นคนแรก นิพนธ์ (หมอก้อง สรวิชญ์) กับนริศราช่วยกันปรับปรุงแปลงดอกไม้ของคุณเล็ก (แพท ณปภา) ที่ทิ้งไว้เหี่ยวเฉาจนดูสวยงามเหมือนเดิม คุณเล็กมาเห็นแปลงดอกไม้ก็อารมณ์ดี เดินเล่นที่นั่นอย่างมีความสุข นิพนธ์ไม่กล้าบอกว่าเป็นฝีมือของนริศรา แต่แล้ววันหนึ่งคุณเล็กได้รู้ความจริง จึงอาละวาดทำลายต้นไม้ทิ้งจนหมด นิพนธ์ยีนคอตกไม่กล้าทำอะไรคุณเล็กเพราะรักและสงสารเธอ

     คุณเล็ก(แพท ณปภา)บังคับให้นิพนธ์(หมอก้อง สรวิชญ์) จีบนริศรา (แอฟ ทักษอร) เป็นแฟนให้ได้ นิพนธ์ปฎิเสธเพราะเขาไม่ได้รักนริศรา คุณเล็กโกรธนิพนธ์มาก ด่าทอเขาแรงๆ แต่นิพนธ์ก็ก้มหน้ารับฟังด้วยความเห็นใจ ส่วนพิสุทธิ์มาดูแลธุรกิจโรงแรมที่เชียงใหม่ จึงติดต่อนริศราได้อีกครั้ง และนัดเจอกับนริศราทั้งสองคนคุยกันอย่างถูกคอ

      ลัคนามาเยี่ยม ลาวัลย์ (เกล วรันลักษณ์) น้องสาวที่เป็นพยาบาลอยู่เชียงใหม่ ซึ่งมาพักที่โรงแรมของพิสุทธิ์ พอเจอเจ้าตัวก็เข้าไปตีสนิทขอพักฟรี และคิดจะให้ลาวัลย์กับพิสุทธิ์เป็นแฟนแต่ลาวัลย์ปฎิเสธ เพราะเธอแอบรักภูชิชย์ (ป๋อ ณัฐวุฒิ) อยู่ ภูชิชย์ได้พบกับลัคนาโดยบังเอิญ ลัคนาแสดงตัวว่าเป็นพี่สะใภ้ของนริศรา (แอฟ ทักษอร) ภูชิชย์จึงชวนสองพี่น้องมาเที่ยวที่ไร่ และหลอกถามประวัติของเธอ จนได้รู้ว่านริศราจบแค่ม.6 ไม่จบป.ตรีตามที่เขาประกาศรับภูชิชย์นึกสงสารและเห็นใจนริศราขึ้นมา

     เจมส์ วัตสัน ยุวทูตเกสรต่างชาติมาศึกษาเรื่องเกษตรที่ไร่พัฒนา นริศรา (แอฟ ทักษอร) คอยแนะนำช่วยเหลือ ภูชิชย์ (ป๋อ ณัฐวุฒิ) จัดงานเลี้ยงต้อนรับให้เจมส์ในเย็นวันนั้น ทุกคนสนุกสนานมีความสุข ภูชิชย์แกล้งเรียกนริศราขึ้นไปร้องเพลง เธอจึงแกล้งกลับด้วยการเรียกภูชิชย์ขึ้นมาเล่นกีต้าร์ ทุกคนพากันอึ้ง ไม่เคยคิดว่าพ่อเลี้ยงจะเล่นกีต้าร์เป็น ภูชิชย์เปิดเผยว่านริศราเคยเห็นเขาเล่นในวันที่เขานอนไม่หลับ เจ้าน้อย (เจี๊ยบ พิจิตตรา) ฟังแล้วอึ้งเมื่อเห็นทั้งสองรู้ในสิ่งที่เธอไม่เคยรู้ คุณเล็ก(แพท ณปภา) ริษยานริศรามากที่ใครๆก็พากันชื่นชม จึงแอบไปขโมยงานและแฮ็กพาสเวิร์ดของเธอมาใช้และปลอมแปลงการเบิกจ่ายเงิน ให้นริศราตกเป็นจำเลยว่าฉ้อโกงเงินบริษัท แม้หญิงสาวจะปฎิเสธว่าไม่ได้ทำ แต่เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจ เธอจึงลาออกเอง และทำให้พิสุทธิ์หางานให้ เธอจึงได้ทำงานที่ศูนย์วิจัย

     เมื่อนริศรา (แอฟ ทักษอร) ไม่อยู่ที่ไร่ ภูชิชย์ (ป๋อ ณัฐวุฒิ) เริ่มรู้ใจตัวเอง เขาจึงตามตื้อเธอให้กลับมาทำงานต่อ เพราะนิพนธ์ (หมอก้อง สรวิชญ์) ค้นหาความจริงได้แล้วว่าคุณเล็ก (แพท ณปภา)เป็นคนที่ทำเรื่องกลั่นแกล้งนริศรา แต่หญิงสาวก็ยังไม่ยอมมา เจ้าน้อย (เจี๊ยบ พิจิตตรา)จึงต้องพาภูชิชย์ไปง้ออีกครั้ง ด้วยการให้เธอเป็นตัวแทนจากศูนย์วิจัยมาดุงานที่ไร่พัฒนา ทำให้นริศรากลับมาทำงานที่ไร่อีกครั้ง คุณเล็กกำจัดนริศราด้วยการให้ผลจับเธอไปข่มขืน แต่ผลกับบัวเกี๋ยงกลับวางแผนหักหลังคุณเล็ก จับนริศราและคุณเล็กไปเพื่อขืนใจและเรียกค่าไถ่ ภูชิชย์ นิพนธ์ และพิสุทธิ์ ตามไปช่วยออกมาได้

     เจ้าน้อย (เจี๊ยบ พิจิตตรา) ซึ้งใจแล้วว่าภูชิชย์ (ป๋อ ณัฐวุฒิ) รักนริศรา(แอฟ ทักษอร) เธอจึงยอมเปิดทางให้ แม้จะเสียใจแต่ก็ยังดีกว่ารักคนที่ไม่มีหัวใจให้เธอแล้ว ด้านพิสุทธิ์ก็พยายามตัดใจจากนริศรา เพราะรู้ว่าชาตินี้นริศราคงคิดกับเขาได้แค่เพื่อนเท่านั้น ณรงค์รู้ความจริงว่าลัคนาไม่ยอมส่งนริศราไปเรียนต่อ จึงขอหย่ากับเธอ ลัคนาช็อกและเสียใจมาขอโทษนริศรา พอนริศรารู้เรื่องจึงอ้อนวอนพี่ชายให้คืนดีกับลัคนาอีกครั้ง เพื่อครอบครัวที่สมบูรณ์ และเธอจะกลับไปเรียนต่อตามคำสั่งพี่ชาย ภูชิชย์กลัวเสียเธอไป วิทวัส (ลิฟท์ สุพจน์) จึงให้คุณเล็กมาง้อ คุณเล็ก (แพท ณปภา) แพ้ความดีของนริศรา จึงอ้อนวอนให้เธออยู่ต่อ เพราะรู้ว่าพี่ชายของเธอรักนริศรามากแค่ไหน

     ลัคนาได้เจอวิทวัส (ลิฟท์ สุพจน์) เพราะเคยเจอกันที่โรงเรียนลูกหนู คุณเล็ก(แพท ณปภา)จึงได้รู้ว่าวิทวัสแอบมีครอบครัวอยู่แล้ว ความลับถูกเปิดเผย วิทวัสยืนคอตก แต่กลับกลายเป็นว่า คุณเล็กไม่โวยวายและวีนแตก แต่กลับให้วิทวัสพาลูกเมียมาหา ในที่สุดความรักของทุกคนก็ลงเอยด้วยดี นริศรา(แอฟ ทักษอร)กลับไปเรียนต่อจนจบและกลับมาแต่งงานกับภูชิชย์(ป๋อ ณัฐวุฒิ)  วิทวัสกับรัชนิดาแต่งงานกันอย่างเป็นทางการ ส่วนคุณเล็กเปิดใจรับรักนิพนธ์(หมอก้อง สรวิชญ์)  หลังจากที่แอบรักเจ้านายสาวขี้วีนมานานแสนนาน


ข้อคิดที่ได้จากละครเรื่องรักประกาศิต
จากละครเรื่องรักประกาศิตเราจะเห็นได้ว่าเรื่องราวของละครเรื่องนี้ทำให้เราเห็นว่าการที่คนอื่นตัดสินใจในเรื่องของความรักแทนเรานั้นบางครั้งอาจทำให้เราได้พบกับความล้มเลวในชีวิตคู่ของเราได้ ฉะนั้นเรื่องบางเรื่องคนอื่นอาจตัดสินใจแทนเราได้แต่เรื่องความรักและการครองเรือนคนๆนั้นต้องเป็นคนตัดสินใจด้วยตัวเองเท่านั้น และที่ได้เห็นอย่างชัดเจนจากละครเรื่องนี้นั้นก็คือคนในครอบครัวควรเลี้ยงดูคนที่เรารักอย่างถูกวิธีเพราะผลที่จะตามมาจากการเลี้ยงดูผิดวิธีนั้นจะทำให้ทั้งชีวิตของคนถูกเลี้ยงและคนที่เลี้ยงเองก็ไม่มีความสุขและไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตด้วย